อาการปวดหลัง เพราะขับรถ
สนับสนุนเนื้อหา
หลายคนคงเป็นเหมือนกัน นั่นก็คืออาการปวดหลังจากการขับรถ เพราะสมัยนี้รถบนท้องถนนก็มากขึ้น ทำให้ช่วงเวลาที่เราต้องขับรถเดินทางทั้งไปและกลับบ้านนั้น ยาวนานขึ้น ส่งผลให้มีความรู้สึกปวดหลังขึ้นมา หรืออาจจะเป็นอาการปวดจากการขับรถทางไกลไปต่างจังหวัด เราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร...
1.
ไม่ควรให้ร่างกายค้างอยู่ท่าเดียวนานๆ เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดขึ้นมา
หรือหากจำเป็นต้องอยู่ท่าเดิมนานๆ นั้นควรจะอยู่ในท่าที่เรารู้สึกสบาย
2. ไม่ควรให้หลังของเรานั้น อยู่ในท่าโค้งหรือมีการบิดตัว
เพราะท่าแบบนี้ กล้ามเนื้อและเอ็นด้านหลังจะถูกยืดนานๆ
หมอนรองกระดูกสันหลังจะมีแรงกดมากกว่าในท่านั่งหลังตรงหรือท่ายืนตรง
เพราะฉะนั้นการนั่งควรยืดหลังให้ตรง
3. สำหรับคอ ไม่ควรก้มหรือเงยมากเกินไป เพราะจะทำให้ส่วนบ่าและไหล่ ทำงานหนักมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลไปถึงอาการปวด
4. ควรพักผ่อนสายตาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าและลดอาการเครียด เนื่องจากความเมื่อยล้าของสายและความเครียดนั้นมีผลต่ออาการเกร็งของกล้ามเนื้อ
การปรับเบาะขณะขับรถควรปรับให้เหมาะสมและตรวจดูความเหมาะสมของอุปกรณ์เหล่านี้ ทุกครั้งก่อนขับรถ โดยอาศัยหลักการดังต่อไปนี้
1. ปรับระยะนั่งใกล้-ไกลโดย
ให้ขาเหยียบคันเร่งพอดีและสามารถขยับเท้ามาเหยียบเบรกได้ง่ายและรวดเร็ว
และระยะห่างนี้ต้องไม่ทำให้เข่าและสะโพกงอมากนัก
เพราะการงอมากของเข่าและสะโพกจะทำให้กระดูกข้อเท้าลำบากทำให้ต้องยกขาเมื่อ
ต้องขยับเท้าไปมา
ขณะเดียวกันการเหยียดขามากไปจะทำให้ตัวและขาอยู่ในรูปคล้ายตัวแอล
ซึ่งมีผลต่อการเหยียบเบรกและคันเร่งเช่นกัน คือแรงจะลดลง
เพราะสามารถใช้ปลายเท้าเหยียบได้เท่านั้น
ไม่สามารถใช้แรงจากเข่าและสะโพกได้ ร่างกายที่อยู่ในรูปตัวแอล
จะมีผลทำให้หลังส่วนล่างโค้งมาก และเส้นประสาทสันหลังและขาตึงตัวมาก
จะมีผลเสียคือ กล้ามเนื้อล้าง่าย
ด้านหน้าของหมอนรองกระดูกมีแรงกดมากทำให้หมอนรองกระดูกมีโอกาสปลิ้นไปด้าน
หลังสูง ท่านั่งนี้จึงทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ง่าย
ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงท่านั่งนี้ ที่เราอาจพบได้บ่อยในผู้ที่ใช้เก๋งเตี้ยๆ
2. การปรับความเอียงของเบาะพิงหลังจะมีความ
สัมพันธ์กับการปรับใกล้ไกล มุมการมอง และการจับพวงมาลัย
คือเมื่อปรับขาให้พอดี ตัวอาจจะห่างไป ทำให้ต้องปรับเบาะพิงชันขึ้นมา
แต่การปรับเบาะชันขึ้นมาอาจมีผลทำให้หลังและขาเป็นรูปคล้ายตัวแอลดังข้อ 1
แต่ก็มีข้อดีเมื่อตัวตั้งตรงคือ ทำให้ไม่ต้องงอคอมากนัก
บ่าและคอจึงไม่เมื่อย
ดังนั้นความเอียงของเบาะควรอยู่ในระดับที่เมื่อขับรถแล้ว
ไม่มีความรู้สึกว่าต้องใช้แรงในการยกคอและศีรษะขึ้นมาตั้งตรง
3. ปรับการเอียงของเบาะนั่งมีความจำเป็นอีกเช่นกัน
เพราะหากเบาะนั่งให้มีการชันตัวมาก
จะมีผลทำให้เกิดการกดของด้านหน้าของเบาะต่อด้านหลังเข่าของผู้ขับขี่
ซึ่งด้านหลังเข่านี้ มีหลอดเลือดและเส้นประสาทจำนวนมาก
หากมีการกดทับจะทำให้เกิดอาการชา และอ่อนแรงของขาได้
ดังนั้นควรปรับให้เบาะด้านหน้าสูงพอที่ระรับน้ำหนักขาได้
โดยที่ขาไม่ลอยสูงจากเบาะ แบบลักษณะเข่าชัน
และเมื่อขับรถและมีการกดคันเร่งค้างนานๆ ด้านหน้าของเบาะต้องไม่กดหลังเข่า
4. ปรับความสูงต่ำของเบาะโดย
เฉพาะรถใหม่ๆ มักจะสามารถปรับได้ หลายๆ คนอาจมองว่าไม่เกิดประโยชน์
เพราะตัวสูงอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่ตัวสูงก็ต้องใช้
เพราะถ้าเบาะเตี้ยจะทำให้ต้องปรับเบาะรถห่างจากพวงมาลัยมากขึ้นส่งผลต่อการ
งอของหลัง
การปรับเบาะรถให้สูงขึ้นจะมีผลทำให้ท่านั่งขับรถคล้ายกับการนั่งเก้าอี้มาก
ขึ้น ดังเห็นได้จากรถตู้หรือรถ MPV ที่มักต้องนั่งขับในท่าหลังตรงๆ
และแน่นอนท่านี้ศีรษะและคอก็จะอยู่ในแนวตรง ไม่จำเป็นต้องงอคอขึ้นมา
และในผู้ที่ตัวไม่สูง ก็สามารถ ปรับความสูงของเบาะเพื่อให้เหยียบถนัดขึ้น
5. ปรับมุมของพวงมาลัย จะขึ้นอยู่กับการปรับเบาะต่างๆ ด้วยให้
ปรับทุกอย่างเสร็จแล้วค่อยมาปรับพวงมาลัย
แต่ถ้าปรับพวงมาลัยสุดแล้วยังรู้สึกไม่พอดี ต้องปรับจากข้อ 1 ถึง 4
ใหม่อีกครั้ง ตำแหน่งและระยะการจับพวงมาลัยมีความสำคัญมาก
เพราะมีผลต่อการควบคุม พวงมาลัยของรถทำให้บังคับรถได้ง่ายหรือยากได้
ระยะและระดับที่เหมาะสมคือ ระยะที่เมื่อวางมือแล้ว
สามารถหมุนพวงมาลัยได้คล่อง ไม่มีการติดขัดหรือมีความรู้สึกว่าต้องเอื้อม
ขณะเดียว กัน
กล้ามเนื้อบ่าและไหล่ต้องไม่เกร็งเพื่อที่จะถือแขนให้อยู่กับพวงมาลัยนานๆ
6. การปรับระยะพวงมาลัยเข้าใกล้หรือไกลรถรุ่นใหม่ๆ
อาจสามารถปรับระยะใกล้ หรือไกลของพวงมาลัยได้
คือเราสามารถดึงพวงมาลัยเข้าใกล้หรือผลักออกไปไกลได้ การปรับนี้มีข้อดี
ที่เมื่อปรับระยะใกล้ ไกล และปรับพนักพิงแล้ว
อาจทำให้แขนต้องเอื้อมจับหรือแขนอยู่ชิดพวงมาลัยมากเกินไป
การปรับนี้จะช่วยให้เราสามารถจับพวงมาลัยได้ถนัดขึ้น
7. ปรับกระจกส่องข้างและหลังจะเป็นการปรับหลังสุด
หลังจากปรับส่วนอื่นๆ เสร็จแล้ว โดยยึดหลักการที่ว่า
เมื่อนั่งโดยไม่ต้องขยับศีรษะหรือโยกตัวเราสามารถมองเห็นในจุดที่เราต้องการ
ได้ หากการมองยังมีจุดบอดแสดงว่าอาจต้องใช่อุปกรณ์ เสริม เช่น
ติดกระจกส่องหลังบานใหญ่ขึ้น หรือกระจกโค้ง เพื่อให้เห็นได้ครอบคลุมขึ้น
แต่อาจมีผลเรื่องการกะระยะบ้างเพราะภาพจากประจกโค้งจะหลอกตา
เทคนิคที่กล่าวมานั้นควรอยู่ภายใต้ความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย
หากปรับให้สบายตัว แต่ไม่ปลอดภัยก็ไม่ถือว่าเป็นการปรับที่ดี
ที่สำคัญในการปรับนั้น ควรปรับเมื่อรถอยู่นิ่ง ไม่ควรปรับเมื่อรถวิ่งอยู่
โดยเฉพาะการเลื่อนเบาะและปรับมุมพนักพิง
ที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่ได้ค่ะ