วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

5 ข้อดีของการมีผู้หญิงเก่งเป็นแฟน

          ผู้ชายส่วนมากมักไม่กล้าจีบผู้หญิงเก่ง พอถามเหตุผลว่าทำไมถึงไม่กล้า เขาเหล่านั้นพร้อมใจกันตอบว่า “เก่งเกินไปน่ากลัว” อาจเพราะพวกเธอดูเฉลียวฉลาด แคล่วคล่องในการทำงาน จนชายหนุ่มอาจกลัวว่าเธอจะรู้ทันเกมความรักของเขาก็เป็นได้ แต่เรื่องที่จะเล่าถึงในบทความนี้ เป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่ใครหลายๆคนอาจจะมองข้าม ซึ่งแง่มุมเหล่านี้ตอบโจทย์วิสัยของผู้ชายส่วนใหญ่ที่ไม่ชอบความงี่เง่าของผู้หญิงเสียด้วย!
business-women
ไม่งี่เง่าง๊องแง๊ง
ผู้หญิงเก่งจะ ไม่มีนิสัยงี่เง่าง๊องแง๊ง หรือพูดไม่รู้เรื่อง ถ้ายิ่งบอกพวกเธอว่า เวลานี้คือเวลาทำงาน พวกเธอจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายหรือเรียกร้องอะไรมากมายจากคุณ ให้เสียงานเสียการโดยเด็ดขาด เพราะสำหรับพวกเธอแล้วการทำงานถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่สำคัญมากเช่นกัน
เป็นเพื่อนคู่คิด
เมื่อคุณเจอปัญหาจากการทำงาน หรือปัญหาชีวิตที่หนักหน่วงแค่ไหน เธอจะไม่ปล่อยให้คุณเผชิญปัญหาอยู่เพียงลำพัง แต่เธอจะช่วยคุณคิดหาทางแก้ปัญหาให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือหากเป็นปัญหาที่คุณแสดงความตั้งใจออกมาแล้วว่าต้องการแก้ปัญหาคนเดียว เธอจะเป็นผู้รับฟังที่ดีคนหนึ่งเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นทั้งเพื่อนและแฟนในเวลาเดียวกันก็ว่าได้
ไม่ตามเช็ค
ผู้หญิงที่อินกับงาน และเป็นผู้หญิงเก่ง มักจะมีความคิดว่าการตามเช็คพิกัดไม่ว่าจะการโทรจิก หรือในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เป็นสิ่งที่เสียเวลา เอาเวลาเหล่านี้ไปทำอะไรที่มีประโยชน์น่าจะดีกว่ามานั่งจับผิดคนรัก และเป็นการทำตัวน่าเบื่อน่ารำคาญเป็นอย่างมาก เธอรู้ถึงคุณค่าในตัวเอง หากเขาไม่ซื่อสัตย์เธอก็พร้อมจะเลิกขาด เพราะเธอเชื่อว่าพวกเธอดีพอที่จะเจอกับคนดีและซื่อสัตย์ ฉะนั้นการตามเช็คจึงไม่ใช่วิสัยของผู้หญิงเก่งแม้แต่นิด
ไม่คิดเล็กคิดน้อย
เรื่องคิดหยุมหยิม เก็บรายละเอียด เช่นว่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผู้ชายยังเปิดประตูรถให้ฉันอยู่เลย ทำไมวันนี้เขาปล่อยให้ฉันเปิดประตูรถเองล่ะ แล้วนี่อยู่กับฉันทำไมต้องโทรคุยงานตลอดเวลา สงสัยเราจะไม่สำคัญแล้วแน่ๆ บลาๆๆ จะไม่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเก่ง เพราะการมาคิดเรื่องแบบนี้รกสมองอันปราดเปรื่องของพวกเธอเปล่าๆค่ะ
ไม่อ่อนแอ
เธอเหล่านี้ต้องต่อสู้กับภาระงานอันหนักหน่วงมานับไม่ถ้วน บางคนอาจต้องสู้กับปัญหาชีวิตหนักๆมาแล้วด้วยซ้ำ ฉะนั้นถ้าจะต้องทำตัวเป็นผู้หญิงอ่อนแอ ไปไหนไม่ได้ถ้าไม่มีแฟนพาไป เจอปัญหาแล้วนั่งร้องไห้รอแฟนมาแก้ปัญหาให้ ไม่ใช่วิสัยพวกเธออย่างแน่นอนค่ะ ถ้าคุณกังวลว่าจะต้องโดนตามตัวให้มาหาตลอดเวลาเพราะคุณผู้หญิงเป็นคนบอบบางและอ่อนแอ ผู้หญิงเก่งเหล่านี้ไม่มีปัญหาเหล่านี้แน่นอนค่ะ
ที่เล่ามาทั้งหมด หลายคนอาจบอกว่า ถ้าเก่งขนาดนี้จะมีแฟนทำไม อยู่คนเดียวก็ได้ จริงๆผู้หญิงเก่งก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากมีคนอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้กันบ้างในวันที่เหนื่อยล้า เธอยังต้องการความรักความอบอุ่นมาเติมเต็มในหัวใจ เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ เพียงแต่ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ อยากให้หลายๆคนที่ติดกับคำว่า “ผู้หญิงเก่งน่ากลัว” ได้มองอีกมุมหนึ่งบ้างก็เท่านั้นเอง

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

5 เหตุผลของคนโสดช่างเลือก!

Love
คนโสดหลายๆ คนเคยรำคาญเวลามีคนบอกว่า “เพราะเลือกมากเลยโสดอยู่อย่างนี้” ไหมคะ ถ้ารำคาญและเบื่อหน่ายกับคำครหาแบบนี้ ลองเอาเหตุผลเหล่านี้ให้คนพูดอ่านดูนะคะ แล้วถามเขาด้วยว่า ถ้ามีผู้ชายแบบนี้เข้ามาเป็นตัวเลือก เขาจะเลือกคบเป็นแฟน หรือเอามาเป็นพ่อของลูกไหม
เจ้าชู้ถึงขั้นที่ว่า “ไม่มีหางก็เอาแล้ว”
บุคลากรประเภทนี้ ควรเป็นอันดับแรกที่ตัดทิ้ง แม้หนังหน้านางจะดูตี๋เกาหลี หรือคมเข้มบาดใจเพียงใด แต่ถ้าเจ้าชู้ไม่รู้จักพอ แบบนี้ก็ควรบายไหมคะ ผู้เขียนเองเคยเจอไปประโยคนึงถึงกับอึ้งมาถึงทุกวันนี้ นั่งอยู่ด้วยกันแท้ๆ อาจเพราะคบกันมานานเกินไป มีผู้หญิงวัย กระเตาะโทรหานางอารมณ์ชวนไปดูหนัง เขามองหน้าฉัน แล้วตอบปลายสายว่า “ดูหนังเหรอ วันนี้ไม่สะดวก วันอื่นแล้วกันนะ” พอฉันบอกว่า ทำไมไม่เลิกเจ้าชู้สักที ทีเรายังมีเธอคนเดียวเลยนะ นางตอบมาแบบนิ่งๆว่า “ก็เธอไม่มีคนอื่นเองอ่ะ ผู้ชายไม่เจ้าชู้ไม่มีในโลกหรอก เรื่องธรรมชาติ” ไหวไหมคะ ผู้ชายแบบนี้ ขืนทู่ซี้เอาทำพันธุ์ไม่รู้เลยว่าจะติดโรควันไหน เสื่อมค่ะ!
แมงดาพาเพลิน
ต่อให้เป็นผู้หญิงที่ รวยล้นฟ้า แต่ถ้าต้องมีผู้ชายลูกครึ่ง (ครึ่งแมงดาครึ่งคน) เข้ามาในชีวิต ไปเที่ยวด้วยกันแม้กระทั่งรถก็ใช้รถคุณ ค่าข้าว ค่าน้ำ ค่าเที่ยว ทุกสิ่งอย่างคุณต้องซับพอร์ทเขาตลอด หรือแม้แต่โทรหายังใช้การยิงเพื่อให้เราโทรกลับ หรือหากนั่งแท็กซี่เรามีแบงค์ใหญ่ เขามีเศษ เขาออกให้ก่อนแต่พอลงรถปุ๊บสั่งให้คุณเอาแบงค์ใหญ่ไปแลกเศษตังค์ เพื่อที่จะได้ใช้ค่ารถคืนเขา คุณจะเอาไหมคะ และที่สำคัญแมงดาพวกนี้ เขาไม่ได้รักคุณค่ะ เขารักเงินของคุณ
ขี้เหล้าเมาหยำเป
ผู้ชายที่วันๆไม่ทำอะไร แค่เดินผ่านกลิ่นเหล้าก็เวอร์วังอลังการ นอกจากเสียภาพลักษณ์แล้ว ยังสื่อให้เห็นถึงความไม่มีอนาคต และความไม่รักตัวกลัวตาย ลองคิดดูสิคะ แม้แต่ตัวเขาเอง เขายังไม่รักเลย ทำร้ายตัวเองด้วยน้ำเมาทุกวันๆ แล้วเขาจะมารักและดูแลคุณได้ยังไง ถ้ามีตัวเลือกนี้ผ่านเข้ามาให้พิจารณา ขอถามคนที่ชอบว่าคนโสดว่า “ก็เธอเลือกมาก เลยไม่มีวัน” เจอเดินเซมาขอเบอร์แบบนี้ คุณเอาไหมคะ?
 เล่นพนันมันส์ทุกสถานการณ์
ผู้ชายที่หายใจเข้าออกเป็นการพนันทุกชนิด ยิ่งเป็นผีพนันถึงขั้นต้องกู้หนี้ยืมสินคนอื่นเพื่อมาต่อยอด การพนันที่มีโอกาสเสียทุกลมหายใจเข้าออก คุณกล้าฝากอนาคตไว้กับเขาไหมล่ะ
แฟนเผลอแล้วเจอกัน
ผู้ชายในข้อนี้อาจจะคล้ายคลึงกับข้อแรก เพียงแต่ข้อนี้ เขาแสดงตัวตนชัดเจนว่ามีแฟนอยู่แล้ว แต่ก็ต้องการจะคบกับเราด้วย พูดง่ายๆว่ามาเคลมเราเพราะอยากให้เราเป็นกิ๊กว่างั้นเถอะ ผู้ชายแบบนี้แค่มาเป็นคนรู้จักยังมากไปเลยค่ะ ถ้าเจอแบบนี้มาจีบ ถามคนที่ชอบตราว่าสาวโสด ว่าเลือกเยอะเลยไม่มีแฟนสักที ถามหน่อยว่า ถ้าเขามาจีบคุณ คุณเอาเองไหมล่ะคะ

ที่สุดแล้วไม่รักก็คือไม่รัก อย่าไปวิจารณ์ใคนที่ยังโสดว่า จะเลือกมากอะไรนักหนา การที่เขาเลือกอาจเพราะเขาเจอเหตุผลหลักๆ 5 ข้อข้างต้น หรือถ้าหากเจอคนธรรมดาๆ จนไปถึงคนดี แต่ถ้าเขาไม่รัก ไม่รู้สึกพิเศษอะไรด้วย เขาก็ไม่คบเป็นแฟน เพราะรู้ว่ายังไม่ใช่ มันก็แค่นั้นเองค่ะ คนเราอยากรักคนที่เรารักเขา และเขาก็รักเรา เหมือนกับคนที่มีแฟนแล้วที่ชอบตราหน้าคนโสดว่า เลือกมากเลยโสด ถ้าให้คนที่ว่า ไปเป็นแฟนกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักหรือรู้สึกดีเลย จะเอาไหมล่ะ ใจใครใจมันค่ะ เหตุผลเดียวกัน ทุกคนอยากรักกับคนที่ใช่…มันก็แค่นั้น

ใครนอนไม่หลับมามุง! คู่มือหลับแบบสนิทตลอดคืน!

ไม่ว่าจะเปิดคู่มือสุขภาพดี ใดๆ ก็ตาม แน่นอนว่า "การนอนหลับ" ให้เพียงพอเป็นสูตรสำเร็จที่สำคัญข้อหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่กลายเป็นว่าคนหลายคนต่างเป็นโรคนอนไม่หลับ เป็นที่มาของปัญหาอื่นๆ ตามมา เว็บไซต์ Sleepfoundation เลยแนะนำทิปดีๆ ที่ช่วยให้คุณนอนหลับสนิทตลอดคืนกัน

- กำหนดเวลานอนให้ชัดเจนในตาราง ไม่ว่าจะตอนตื่นหรือหลับไม่เว้นแม้แต่วันหยุด เพื่อให้นาฬิกาชีวิตจดจำเวลาของร่างกายได้ เมื่อถึงเวลาก็จะรู้สึกง่วงนอนทันที
- ถ้าหากใครมีปัญหานอนไม่หลับ ให้หลีกเลี่ยงการนอนงีบระหว่างวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางวัน แม้ว่าจะช่วยเพิ่มพลังระหว่างวันก็ตาม เพราะจะทำให้ไม่ง่วงเวลากลางคืน
- ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายหนักก็ได้ เพียงขยับเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าช่วงเวลาใดของวัน เว้นเสียแต่ว่าการออกกำลังกายนั้นจะมาเบียดเบียนเวลานอนของคุณ
- จัดห้องนอนให้เรียบร้อย โดยจัดให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการนอน ซึ่งควรมีอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป ไม่มีเสียงใดๆ รบกวนการนอน ไม่มีแสงส่องเข้ามาถึงในห้อง ไม่เว้นแม้แต่เสียงกรนของเพื่อนร่วมห้อง โดยอาจพึ่งอุปกรณ์ช่วยอย่างม่านกันแสงได้ ผ้าปิดตา ที่ปิดหู ก็ช่วยได้เยอะ
- นอนบนที่นอนและหมอนที่สบาย ซึ่งนอกจากจะต้องนุ่ม สบาย เหมาะแก่การนอนหลับแล้ว เรื่องสุขภาพก็เป็นเรื่องสำคัญ จำเป็นต้องดูว่าเครื่องนอนนั้นไม่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้หรือไม่ โดยปกติแล้วชุดเครื่องนอนมักใช้งานได้อยู่ระหว่าง 9-10 ปี จะได้ประสิทธิภาพสูงสุด
- หลีกเลี่ยงแสงสีขาวในช่วงเวลาตอนเย็น เพราะจะทำให้ร่างกายเข้าใจว่าเป็นช่วงเช้า ทำให้ตื่นและไม่อาจนอนหลับได้
- ผ่อนคลายในช่วงเวลา 1 ชั่วโมงก่อนหลับนั้น ควรทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายอย่างการอ่านหนังสือ หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่กระตุ้นให้สมองตื่นตัว เพื่อให้ร่างกายพร้อมที่จะหลับสนิท
- หากนอนไม่หลับ มาตรการสุดท้ายคือหาอะไรทำ หรือไปห้องอื่นๆ ทำกิจกรรมต่างๆ จนรู้สึกว่าเหนื่อยเต็มที่ หยิบเอาอุปกรณ์ไม่จำเป็นออกจากเตียงนอนให้หมด ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ ใช้นอนอย่างจริงจังเท่านั้น
เท่านี้ก็ช่วยให้หลับสนิทตลอดคืน

แต่งหน้าสวยปัง ตาแน่น ปากเบลอ แบบ เทย์เลอร์ สวิฟต์

เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องสาวแสนสวยวัย 25 ปีชาวอเมริกัน คว้าหัวใจหนุ่มสาวไปทั่วโลก นอกจากความสามารถในการร้องเพลง เล่นกีตาร์แล้ว เรื่องความสวยและรูปร่างเธอก็โดดเด่นและเป็นที่จับตามองไปทั่วทุกมุมโลก

อย่างลุคการแต่งหน้าในปีก่อนๆ เราจะคุ้นตากับปากแดงสุดเปรี้ยว แต่ในปี 2015 สไตล์การแต่งหน้าจะกลายเป็นปากสีนู้ด เน้นดวงตาโฉบเฉี่ยว รับกับทรงผมบ็อบ ได้แซ่บไม่แพ้ได้ลุคเดิมเลยค่ะ

วันนี้ Sanook! Women จะขอพาคุณสาวๆ ไปซูมการแต่งหน้าของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ในงาน 2015 Billboard Music Awards เสื้อผ้า หน้า ผม สวยปังชนะเลิศ ทำเอาสาวๆ ทั่วทุกมุมโลกกรีดร้องและปรบมือดังๆ ให้กับความเปรี้ยวเข็ดฟันของนางในวันนั้นจริงๆ

สโมกกี้อายสุดปัง เน้นให้ดวงตาเป็นจุดที่โดนเด่นที่สุดของใบหน้า ด้วยการเขียนขอบให้ดวงตาที่ดูเฉี่ยวของนางเป๊ะขึ้น
- อายแชโดว์ ไอเท็ม ที่จะช่วยเนรมิตความสวยให้กับดวงตาคุณได้บล็อคตาเฉี่ยวเป็นรูปตัววีที่หางตา แบบนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มความคมให้ดวงตาดูเด่นขึ้น เหมาะกับสาวตาสองชั้นหลบใน ที่ไม่รู้จะแต่งตาแบบไหน เพราะลืมตาไปก็มองไม่เห็น จัดตาแน่นให้เห็นกันชัดๆ ให้สวยสะกดกันไปเลย

ลุคนี้ต้องอายแชโดว์น้ำตาลเข้ม อย่าง Naked2 สี snakebite ผสมกับสีน้ำตาลเนื้อแมทช์นิดๆ ก็ช่วยเพิ่มความเข้มได้ ใช่พู่กันเขียนทั้งขอบตาบนและล่าง โดยก่อนที่เราจะเขียนดินสอเขียนขอบตา เราต้องเบลนสีอายแชโดว์ให้ฟุ้ง จะสโมกกี้อายที่สวยแซ่บแต่ไม่ดุจนเกินไป
- ขาดไม่ได้ ดินสอเขียนขอบตา เขียนให้ชิคโคนขนตามากที่สุด ลากจากปลายหางตามาจนถึงหัวตาทั้งบนและล่างเลยนะคะ (งานนี้เราจะสโมกกี้อายแบบจัดเต็ม)
ดินสอเขียนขอบตา ที่แนะนำราคาเบาไม่ถึงหลักพันก็มี IN2IT Waterproof Eyeliner ดินสอ เขียนขอบตาที่เหมาะกับสาวๆ ที่ต้องการให้ดวงตาโดนโตขึ้นแต่ไม่ชอบกรีดอายไลเนอร์เนื้อลิควิค ใช้ตัวนี้ทาได้ทั้งขอบตาบนและล่าง เขียนอินเนอร์ด้านเพิ่มความคมให้ดวงตาได้ แท่งเดียวตอบโจทย์หมดขนาดนี้ต้องมีแล้วค่ะ
- คิ้ว ของสาวยุโรปจะมาตรงๆ ใหญ่ๆ แบบสาวเกาหลีก็ไม่ใช่นะคะ เพื่อให้ดูเป็นสาวอินเตอร์ ทรงต้องเล็กเรียว โค้งนิดๆ เมื่อได้รูปที่ต้องการแล้ว ปัดมาสคาร่าสีน้ำตาลทองทับได้เลย แต่สีนี้เหมาะกับสาวๆ ที่ทำผมบลอนด์เท่านั้นนะคะ ใครผมดำหรือสีน้ำตาลก็เลือกให้ใกล้เคียงกันไป
ที่เขียนคิ้วที่แนะนำ ANASTASIA Brow Powder แป้งฝุ่นสำหรับแต่งเติมคิ้ว ใช้คู่กับแปรง Duo Angled Cut Spooley Brush ที่ส่วนตัวเกรดดี้ใช้แล้วชอบมากๆ เป็นที่เขียนคิ้วเนื้อฝุ่นที่สวย ติดทน ส่วนแปรงหัวตัดก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราเขียนคิ้วให้เส้นคมมากขึ้น ปิดท้ายขั้นตอนการเขียนคิ้วที่ปัดคิ้ว Kate หัวแปรงปลายแหลมสะดวกในการปัด คุณภาพดีคุ้มราคาไม่หลุดลอกระหว่างวันด้วยค่ะ
- มาเลือกบรัชออนกันเถอะ ลุคนี้จะต้องมองรวมๆ แล้วเป็นสีบรอนด์ๆ น้ำตาลอ่อนๆ  สีที่เกิดมาคู่กับสีตาคงไม่พ้นสีส้มอ่อน  และทับด้วยไฮไลท์มีประกายนิดๆ เน้นนะคะว่าสีอ่อน เดี๋ยวหน้าเข้มเหมือนโดนของจะหาว่าไม่เตือน

บรัชออนที่แนะนำ M.A.C Blush On สี Melba ปัดทับด้วยไฮไลท์ M.A.C Mineralize Skinfinish Soft And Gentle ประกายชิมเมอร์เบาๆ จะช่วยให้คุณโดนเด่นเมื่อกระทบกับแสงไ
เทคนิดการปัดบรัชออน เทรนด์การทาแก้มตอนนี้จะไม่ได้ปาดมาข้างหน้าทั้งสองข้าง แต่จะเป็นการทาหน้าแก้ม ด้วยรูปหน้าสวยๆ ของนางทำให้การปัดหน้าแก้มแบบนี้ไม่มีปัญหา กลับจะยิ่งช่วยเติมเต็มใบหน้าให้ดูมีพลังมากขึ้น
- สีลิปสติกที่ใช้ จะเป็นสีนู้ดหม่นๆ ไม่เข้มหรืออ่อนจนเกิน มองผ่านๆ คล้ายสีปากปกติ บอกแล้วว่าลุคนี้ไม่เน้นปาก งานตาแน่นต้องมาเท่านั้นพอ
ลิปสติกที่แนะนำ Bobbi Brown สี nude beige เป็นลิปสติกสีนู้ดเบาๆ ไม่ป่วย เนื้อดีไม่แมทช์จนเกินไป สวยและเหมาะมากๆ กับลุคนี้ของเทยเลอร์ค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับลุค สวยปัง ตาแน่น ปากเบลอ แบบ เทย์เลอร์ สวิฟต์ สำหรับครั้งหน้าเกรดดี้จะมีลุคเซเลบดาราคนไหน มาแนะนำอีกบ้าง รอติดตามกันได้เลย

น้ําผึ้ง ณัฐริกา กับเคล็ดลับผิวดี แบบง่ายเวอร์ ที่คุณก็ทำได้

"น้ำผึ้ง ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์" นักแสดงสาวหน้าเด็กมากความสามารถ กลับมาฮอตอีกครั้ง หลังจากที่เคยโด่งดังเป็นพลุแตกจากการเป็นนางเอกในเมื่อไม่กี่ปีก่อน จากละครเรื่อง "มนต์รักลุกทุ่ง" บอกเลยสมัยนั้น ญาญ่า ก็ ญาญ่า เถอะ สู้ "น้ำผึ้ง" ไม่ได้แน่นอนค่ะ
น้ําผึ้ง ณัฐริกา
สมัยนั้น เธอดังแบบสุดๆ ชนิดรถตู้ยังสะเทือน อุต๊ะ! อย่าเพิ่งคิดกันไปไกล สาเหตุที่รถตู้สะเทือน เพราะเหล่าแฟนคลับที่มาให้กำลังใจ มาคอยเขย่า เรียกเคาะ พี่น้ำผึ้งๆ อยู่นั่นเองค่ะ
กลับมาสู่สมัยนี้ น้ำผึ้งก็ยังคงเป็นที่รักของมิตรรักแฟนคลับอยู่ เธอมักจะได้รับบทละครหินๆ แตกต่างจากตัวจริงอย่างสุดขั้วอยู่เสมอ แต่เธอก็ไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวัง ตีบทแตกกระจุย ดั่งเช่น ละครเรื่องล่าสุด "กลกิโมโน" กับบทบาท "ยูกิ" หรือ "นางปีศาจหิมะ" ที่ร้ายสุดใจ เรื่องนี้นอกจากการแต่งหน้า แต่งตัวที่ยากแล้ว "น้ำผึ้ง" ยอมรับอีกว่าเป็นละครที่แสดงยากมากๆ อีกเรื่องหนึ่งด้วย


เรื่องบทบาททางการแสดง ไม่ต้องอวยอะไรเยอะ เพราะเห็นๆ กันเองอยู่แล้ว กลับมาที่เรื่องของผู้หญิงๆ กันบ้างคะ Sanook! Women มีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆ ของ "น้ำผึ้ง ณัฐริกา" เลยได้เม้าท์มอยถึงเคล็ดลับความสวยไม่เปลี่ยนแปลงของเธอกัน สาวน้ำผึ้ง ในวัย 37 ปี ยังแจ๋ว จะมีเคล็บลับเด็ดๆ อะไรบ้าง ตามมาหาคำตอบไปพร้อมกันเลยค่ะ
ดูแลตัวเองยังไงบ้าง?
น้ำผึ้งเป็นคนที่กินน้ำเยอะ เวอร์ ตกวันหนึ่ง 20 แก้วได้ มันเหมือนเป็นการดีท็อกซ์ร่างกาย เราทำแบบนี้มานานมากแล้วนะ ในห้องนอนจะวางเครื่องกรองน้ำไว้เลย เพื่อกดดื่มได้ตลอด มันช่วยเยอะเวอร์จริงๆ ค่ะ ถึงเรากินอาหารที่มีประโยชน์เข้าไปเยอะแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีน้ำไปช่วยหล่อเลี้ยงกระจายสารอาหาร ร่างกายก็จะร้อน สารอาหารจะทำงานไม่เต็มที่ ถ้าเรามีน้ำเข้าไปหล่อเลี้ยงสารพิษจะขับออกมาง่าย เลือดไม่ข้น สรุปแค่ดื่มน้ำดีทุกอย่างเลยค่ะ ง่ายมากๆ
น้ําผึ้ง ณัฐริกา
เป็นคนชอบออกกำลังกาย?
น้ำผึ้งเล่นโยคะค่ะ มันช่วยให้เราคิดช้าลง ปกติคนเมืองอย่างเรากินไป คิดไป ทำอะไรไป มือเป็นปลาหมึก จึงขาดการโฟกัสยาวๆ โยคะทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น โดยการที่เราอยู่กับลมหายใจ เข้า ออก อยูกับท่วงท่า เราจะไม่สามารถทำท่าต่างๆ ได้ ถ้าคิดถึงเรื่องอื่น มันเหมือนเป็นการบังคับให้เราอยู่กับปัจจุบัน ณ เวลานี้ เป็นเหมือนคำสอนของพระพุทธเจ้า พอเราได้อยู่กับปัจจุบันแล้วสติมันจะมา โยคะทำให้เราเข้าถึงสติ ทำอะไรไม่ผิดพลาด รู้สึกตัวอยู่ตลอด กลายเป็นจิตใจนิ่งมากขึ้น ที่สำคัญ "โยคะ" ช่วยให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สง่างามจนทุกวันนี้ค่ะ

บำรุงผิวยังไง?
น้ำ ผึ้งชอบใช้อะไรที่เป็นธรรมชาติ ใช้ "น้ำมันมะรุม" บำรุงผิวมานานแล้วค่ะ เราชอบเข้าป่า มีรอยข่วนเยอะ ใช้น้ำมันมะรุม แผลหายเร็วมาก แต่ต้องเป็นมะรุมแท้ๆ เท่านั้นนะคะ จะได้ประโยชน์ และเห็นผลชัดเจน
น้ําผึ้ง ณัฐริกา

การแต่งตัวเปลี่ยนไปเยอะ?
แรกๆ ตอนเข้าวงการใหม่ๆ เราต้องแต่งตัวแบบอย่างที่คนอยากจะเห็น เป็นการตลาดของนักแสดงนะ พอเป็นนางเอก ก็เลยต้องแต่งตัวเรียบร้อยๆ หลังๆ เริ่มมามีสีสันมากขึ้น น้ำผึ้งชอบไปท่าพระจันทร์ คุยกับเด็กศิลปากรเยอะ เหมือนมันได้รับอิทธิพลการเป็นอาร์ทติส แล้วเราก็ชอบด้วย เราชอบงานพื้นบ้าน สุดท้ายเลยกลับมาเป็นตัวเอง มันสบายตัวกว่า สไตล์ใครสไตล์มัน ทุกคนไม่จำเป็นต้องทำอะไรเหมือนกัน สมัยนี้ดีมาก ทุกอย่างเปิด ทุกคนแสดงตัวตนได้อย่างเต็มที่ค่ะ

สไตล์ที่แต่งปัจจุบันคือสไตล์ที่ เป็นตัวเองที่สุด เราชอบดูภาพรวม จะเหมือนการวาดรูป แต่ก่อนจะแต่งตัวเป๊ะมาก กระเป๋าต้องสีเดียวกัน เข้ากับรองเท้า แต่เดี๋ยวนี้คือให้แมทช์ไปในโทนเดียวกันพอ แล้วแต่อารมณ์ด้วย ถ้าเราแต่งตัวเยอะ เราจะไม่แต่งหน้าหรือทาปากให้มันจัดเกินไปค่ะ

ติดแบรนด์ไหม?
แต่ ก่อนน้ำผึ้งติดแบรนด์เยอะมาก แต่ตอนนี้ไม่เลย น้ำผึ้งชอบเสื้อผ้าคัตติ้งดีๆ ใส่แล้วเนี้ยบ ชอบผ้าที่ปักมือละเอียดๆ แบบผลิตไม่ซ้ำกันค่ะ

ชอบแต่งหน้าแบบไหน?
น้ำผึ้งชอบแต่งหน้านะ แต่ชอบแต่งหน้าให้ผิวเข้มกว่าผิวจริง เราชอบสไตล์สาวละติน พอผิวเข้มแล้วจะดูเหมือนสุขภาพดี จะเน้นแต่งหน้าโทนธรรมชาติค่ะ

เครื่องสำอางที่ขาดไม่ได้เลย
1 "ครีมกันแดด" เพราะถ้าไม่มีกันแดด เวลาเจอไฟในกองถ่าย หน้าพังได้แบบไม่ต้องรอให้ถึงชั่วโมงเลยค่ะ แสงไฟแรงมาก ฝ้าถาวรก็จะถามหา คือ "กันแดด" สำคัญที่สุดเลยนะ
2 "อายไลเนอร์" เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ตาเล็กโตได้ในพริบตา น้ำผึ้งใช้ของ covermark และ มิสทีน ค่ะ ใช้ดี ทนด้วย
3 "สครับปาก" ของ body shop เพราะเราเป็นคนปากแห้ง ชอบแกะปาก พอหันมาสครับปาก ปากไม่ลอก เลือดก็จะไม่ออก สีลิปสติกก็ติดทนนานด้วยค่ะ

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เทคนิคแก้นิสัยขี้ลืม

ทุกวันนี้กิจกรรมประจำวันเรามีมากขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะ แล้วยิ่งเทคโนโลยีเข้ามามากขึ้น แน่นอนล่ะว่าเราจะใช้เหล่าสมาร์ทโฟนเป็นตัวช่วยจำในสิ่งต่างๆ เป็นผลให้ตอนนี้เรามักติดนิสัยขี้ลืมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ใครเป็นปัญหานี้กันอยู่บ้างคะ .. .
วันนี้ W+ มีวิธีแก้นิสัยขี้ลืมมาให้สาวๆ กันค่ะจดบันทึกช่วยจำ



การจดบันทึกในสมุดที่มีวันที่นั้น จะช่วยให้วางแผนเรื่องในชีวิตได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ หรือแต่ละเดือน จดข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวันๆ นั้นที่ต้องทำหรือมีความสำคัญ หรือแม้แต่ความรู้สึกนึกคิด คำคมต่างๆ การจดชะช่วยย้ำให้สมองจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ดีขึ้น
หมั่นพูดกับตัวเอง
ไม่ว่าจะต้องทำอะไรบ้างในวันนั้น ก่อนออกจากบ้าน หรือก่อนจะเริ่มกิจกรรมควรเปล่งเสียงออกมาเสมือนพูดกับตัวเอง "ฉันต้องไปซื้อของ แล้วขับรถไปรับแม่ พอตอนเย็นฉันมีนัดทานข้าวกับเพื่อน" ประมาณนี้ การพูดออกมาซ้ำๆ ย้ำๆ กับตัวเองจะทำให้เราจำในสิ่งที่ต้องทำได้อีกทางหนึ่ง
จัดระเบียบการเก็บข้าวของให้เป็นที่
เปลี่ยนนิสัย การวางของแบบไม่เป็นระเบียบ ไม่ใช่ว่าจะวางอะไรก็วางได้เลย ยิ่งจะทำให้ลืมของเหล่านั้นง่ายขึ้น หันมากำหนดการวางของตัวเอง เช่น กุญแจรถวางไว้บนตู้โชว์ ส่วนนาฬิกาวางไว้บนตู้ข้างเตียง ยาประจำตัวก็ไว้ในกระเป๋าใบเล็กที่พกประจำ การจัดระเบียบการเก็บของแบบนี้จะทำให้ไม่ลืมว่าเราเก็บของอะไรไว้ที่ไหนบ้าง
อย่าทำหลายอย่างพร้อมกัน
ลำพังแค่การจำสิ่งๆ หนึ่งก็ยังจะชอบลืมเลย ไม่ต้องไปพูดถึงสำหรับอะไรที่ทำในเวลาเดียวกัน อย่างเช่น เปิดนิตยสารอ่าน พร้อมกับฟังดีเจคลื่นวิทยุ แล้วก็คุยโทรศัพท์กับเพื่อนไปด้วย นั่นจะยิ่งทำให้เราไม่ม่สมาธิต่ออะไรเลยสักอย่าง แล้วก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลในหนังสือที่เราอ่าน ข่าวทีดีเจเล่าให้ฟัง หรือแม้แต่เรื่องที่เพื่อนคุยกับเราก็ตาม
ทำอะไรให้ช้าลง
หากเราติดนิสัยทำอะไรเร็ว พูดเร็ว ก็จะยิ่งทำให้รายละเอียดของสิ่งเหล่านั้นเบาบางลงไป ยิ่งจะทำให้สมองเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไม่ทัน หันมาทำให้ช้าลง ค่อยๆ พูด ค่อยๆ ทำ และใส่ใจในรายละเอียดของแต่ละสิ่งที่ทำ
ทำสุขภาพกาย สุขภาพใจ ให้แข็งแรง
ไม่ ว่าจะตั้งแต่การดูแลตัวเองให้ดี ทานอาหารให้ครบหมู่ เน้นอาหารที่อุดมวิตามินซี อี และเบต้าแคโรทีน โดยเฉพาะส้ม องุ่น เบอร์รี ผักสีเขียว ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ให้ร่างกายแข็งแรง ส่งผลให้ถึงสมองและจิตใจที่ดีตามไปด้วย นอกจากนั้นอาจจะหากิจกรมบริหารสมองเสริมเข้าไป อย่างเช่น การเล่นเกมส์ฝึกทักษะ การอ่านหนังสือ การเล่นดนตรี เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้สมองได้ออกกำลังด้วย
ตั้งสติ-ทำสมาธิ
สุดท้ายควรหมั่นฝึกนั่งทำสมาธิทุก วัน เพื่อกำหนดจิตใจเราให้นิ่ง ถือเป็นการฝึกสมาธิและช่วยให้การทำสิ่งต่างๆ ของเราชัดเจนและตั้งใจมากขึ้น ส่งผลให้เราจะสามารถจำในสิ่งเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น

มุมสบายๆ มาดามแป้ง

มุมสบาย ๆ มาดามแป้ง
คอลัมน์ชั้น 5 ประชาชาติ โดย สุชาฎา ประพันธ์วงศ์

หลังจากกลับจากการนำถ้วยแชมป์อาเซียนฟุตบอลหญิงมาฝากชาวไทยเรียบร้อยแล้ว มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้บริหารเมืองไทยประกันภัย มีงานนอกสนามให้เคลียร์อีกมาก โดยเฉพาะงานขอลายเซ็นดูจะรอเป็นตั้งทีเดียว
แต่มาดามแป้งก็ยังแบ่งเวลาให้ "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์ ในช่วงเย็นวันฝนตกที่มาดามแป้งดูจะยุ่งและแทบจะยังไม่ได้พักเลยด้วยซ้ำ ดูจากสภาพใบหน้าแล้วอิดโรยเต็มที และระหว่างเดินผ่านห้องรับรองก็เหลือบเห็นมาดามแป้งสวมแว่นตากำลังง่วนกับ เอกสารบนโต๊ะทำงาน เป็นภาพที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก
คนส่วนใหญ่จะเห็นแต่รอยยิ้มหวานๆ ใสๆ สวยๆ แต่เบื้องหลังการทำงาน มาดามแป้งดูขะมักเขม้นและจริงจังหนักทีเดียว
งานหนักขนาดนี้ มาดามแป้งก็ยังดูแลตัวเองได้ดีเช่นเดิม เคล็ดลับก็ไม่มีอะไรมาก "ดื่มน้ำ" ต้องเรียกว่าดื่มน้ำหนักมาก เพราะถามทีไร มาดามแป้งก็บอกว่า "ดื่มน้ำเยอะค่ะ" ใครอยากพิสูจน์ความผ่องใส ก็ทดลองดูไม่หวงสูตร ส่วนเวลานอนก็ลดทอนลงเรื่อย ๆ เพราะต้องนอนดึกตื่นเช้าตามแบบฉบับผู้บริหาร ส่วนหุ่นอันสะโอดสะองก็ไม่ได้เข้าฟิตเนสอะไร โชคดีที่ระบบเผาผลาญเป็นเลิศ
"โทรมค่ะ วันนี้โทรมมาก พักผ่อนไม่พอจริงๆ ค่ะ ต้องรีบจัดบาลานซ์ร่างกาย เพราะไม่อย่างนั้นสุขภาพจะแย่ไป"
ขนาดว่าโทรมแล้วนะ !! สาววัย 50+ ที่ถูกสัมภาษณ์ ก็ยังดูดีกว่าสาววัย 30+ ที่กำลังสัมภาษณ์อยู่ดี
ชวนคุยไปถึงเรื่องพักผ่อน ก่อนนอนทุกคืน มาดามแป้งต้องหยิบหนังสือประวัติศาสตร์ และนวนิยาย ซึ่งเป็นหนังสือเล่มโปรดมาอ่านก่อนนอน ทำให้ต้องยืดเวลาจะเข้านอนจริงจังออกไปอีก
"เข้านอนตอน 5 ทุ่ม กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืนกว่า เพราะต้องอ่านหนังสือก่อน"
เรียกว่านวนิยายที่มีอยู่ในบ้านตอนนี้จะเป็นของสะสมก็ว่าได้ โดยเฉพาะหนังสือของนักเขียนดังอย่าง ทมยันตี, กฤษณา อโศกสิน, แก้วเกล้า และอีกหลายคน
อ่านเยอะ อ่านมาก ถึงขนาดที่ว่า แค่ไล่ตาไปตามตัวอักษรก็รู้ว่าเป็นสำนวนของใคร แหม่...น่าจับไปแข่งรายการแฟนพันธุ์แท้จริงๆ
มาดามแป้งบอกว่า สิ่งที่ได้จากการอ่านคือ แง่คิดดีๆ และความเพลิดเพลิน เป็นอะไรที่ค่อนข้างเบาสมอง
หากใครเคยสัมผัสและพูดคุยกับมาดามแป้งก็จะรู้ว่า เธอเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมาเข้าประเด็น ถามอะไร ตอบได้ตอบหมด และตอบได้เร็วและรัวมาก คำถามที่ลิสต์ไปล่วงหน้า ต้องบอกว่าแทบไม่พอ เพราะมาดามแป้งเป็นคนที่พูดเร็ว กระชับ ไม่พะเยิบพะยาบ ทำเอาคนสัมภาษณ์ระดมยิงคำถามกลับแทบไม่ทันเหมือนกัน
ความสำเร็จของมาดามแป้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพาทีมฟุตบอลหญิง ไทยคว้าตั๋วไปบอลโลก ตามมาด้วยภาระหน้าที่ซึ่งถูกท้าทายด้วยสายตาของคนจำนวนมาก และการลงทุนกับการทำทีมบอลให้แข็งแกร่งแบบเจ้าบุญทุ่มของมาดามแป้ง
"ทุกอย่างมันอยู่ที่ความตั้งใจมากกว่า เงินมันก็มีส่วนเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ความตั้งใจจริงนี่มันสำคัญมาก" มาดามแป้งบอกชัด เงินไม่ได้ซื้อได้ทุกสิ่ง แต่เงินเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น
ด้วยความที่มาดามแป้งบอกว่า เป็นคนไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะเป็นคนไม่ค่อยตั้งเป้าหมายสูงสุดอะไรมาก แต่เป็นคนที่จะทำให้ดีที่สุด และเชื่อว่าบางทีโชคชะตาฟ้ามันก็ลิขิตมาด้วย แต่ก็พยายามพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุด
"ถามว่าเป้าหมายสูงสุดคืออะไร แย่จังเลยที่เป็นคนไม่มีเป้าหมายสูงสุด แย่นะ จริงๆ เป็นคนไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะเป็นนั่นเป็นนี่สูงสุด แต่จะทำวันนี้ให้ดีที่สุด คนเราถ้าตั้งเป้าว่าจะเป็นท็อปให้ได้ที่สุดๆ ถ้าไม่ได้มันจะผิดหวังเปล่าๆ เอาเป็นว่าทำให้ดีที่สุด ผลมันย่อมจะออกมาค่อนข้างดีอยู่แล้ว"
ระดับ "ล่ำซำ" นึกไม่ออกก็คงไม่เป็นไร แค่ทำให้ดีที่สุด ผลลัพธ์ก็คงออกมาดี
"บางคนตั้งเป้าหมายจะเป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี นักธุรกิจที่มีชื่อเสียง แป้งไม่ได้ตั้งเป้าไว้อย่างนั้น แต่แป้งเชื่อว่าบางทีอะไรมันมาโดยกะทันหัน และทำให้เราต้องเดินไปในเส้นทางนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ฟุตบอลก็ไม่เคยคิดจะทำเลย ก็เป็นจุดผกผันเหมือนกัน แฟชั่นแบ รนด์เนมก็ไม่เคยคิด เพราะเป็นคนพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้เลย ไม่ได้เป็นคนจบเมืองนอก แต่ก็ต้องมาดีลกับฝรั่ง ต้องเตรียมความพร้อม แต่สิ่งหนึ่งที่บอกได้เลยคือ ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน"
วิธีการรับมือความไม่แน่นอนคือ ความแน่นอนของมาดามแป้งก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไร แค่ "ปรับตัวรับกับสถานการณ์ เป็นคนรับสภาพ แล้วก็ปลงตกได้ในหลายเรื่อง"
มากกว่าการปลงก็คือ "สติ" มีชุดธรรมตามมาอีกเพียบ "สติ ถ้าเราตั้งสติให้ดี ทุก ๆ อย่างมันมีทางที่แก้ปัญหาได้"
แม้จะดูปลงตกในหลายเรื่อง มาดามแป้งรีบออกตัวทันที "ไม่ใช่แนวนั่งสมาธิ หรือเข้าวัด แต่ก็มีธรรมะอยู่ในใจพอสมควร"
แต่ในความไม่แน่นอนก็มีความแน่นอนที่ว่า มาดามแป้งเป็นนักสะสมต่างหูตัวยง มีในสต๊อกหลายร้อยคู่ มีทั้งที่มีราคาพอสมควรและมีราคาปานกลาง

น้องข้าวมันไก่ จากเด็กเสิร์ฟสู้ชีวิตสู่เจ้าของอาณาจักรข้าวมันไก่ในอเมริกา

“น้องข้าวมันไก่” จากเด็กเสิร์ฟสู้ชีวิตสู่เจ้าของอาณาจักรข้าวมันไก่ในอเมริกา

“ขอบคุณ “ความจน” และ “พ่อขี้เมา” ที่ทำให้มาไกลถึงตรงนี้” หญิงสาวผมทองวัย 34 ปี ตอบเรียบๆ เมื่อถูกถามว่าอะไรคือแรงผลักดันที่ดีที่สุดในชีวิต

ใน วันนี้ เธอคือเจ้าของอาณาจักรข้าวมันไก่ในเมืองพอร์ทแลนด์ สหรัฐอเมริกา เป็นที่จับตามองของสื่อต่างประเทศในฐานะนักธุรกิจดาวรุ่งผู้ไม่ยอมแพ้ต่อ ชะตาชีวิต เธอไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ แต่เริ่มจากติดลบ
เอ่ยชื่อ “น้อง ข้าวมันไก่” คนไทยอาจจะไม่รู้จัก แต่ฝรั่งที่พอร์ทแลนด์จำนวนมากปวารณาตัวเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้มาตั้งแต่ขวบปีแรกของกิจการ

“ตอนนี้มีสามสาขา เป็นร้านแบบรถเข็นสองสาขา ร้านอาหารหนึ่งสาขา แล้วก็เป็นฟู้ดทรัคอีกหนึ่งคัน เอาไว้บริการจัดเลี้ยง สำหรับงานแต่งงาน หรืองานปาร์ตี้ แล้วแต่ลูกค้าจะจ้างไป แล้วก็มีน้ำจิ้มข้าวมันไก่ ใส่ขวดขาย ผลิตเอง ขายเอง ส่งเอง ขายในร้านซูเปอร์มาร์เก็ตค่ะ”

น้อง พูนสุขวัฒนา” เล่าถึงความสำเร็จในวันนี้ของกิจการ “น้อง ข้าวมันไก่” ที่เป็นคนสร้างขึ้นมากับมือเมื่อ 5 ปีก่อน

...แต่ทั้งหมดนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น หากชีวิตในวัยเด็กของเธอมีความปกติสุขเหมือนคนทั่วไป

“โตมาในครอบครัวจนๆ แม่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงคนทั้งครอบครัว ในขณะที่พ่ออาชีพขับรถรับจ้าง บางครั้งขับรถเมล์ แต่โดนไล่ออกเป็นประจำ เพราะเมาเหล้า อาละวาด ทั้งแม่ พี่สาว ตัวเราเอง และแม้กระทั่งหมาที่บ้าน ถูกพ่อทำร้ายร่างกายทุกวัน”

คน บ้านใกล้เรือนเคียงล้วนดูถูกครอบครัวของเธอ บางครั้งพวกเขาก็ทำร้ายพ่อของเธอเช่นกัน แต่แม่ก็เข้มแข็งพอที่จะส่งลูกเรียนจนจบปริญญาตรีทั้ง 2 คน

“ตอนเด็ก ไม่เคยกินอาหารที่ร้านอาหาร ไม่เคยได้ดื่มน้ำอัดลม ไม่เคยได้กินฮานามิ เวลาเห็นเด็กคนอื่นกินก็อยากกินนะ แต่มีเงินไปโรงเรียนวันละ 5 บาท ระหว่างเรียนพี่สาวก็จะขายเครื่องสำอางเอวอนและงานศิลปะ น้องทำงานร้านอาหาร ตอนปิดเทอม เพื่อช่วยแม่จ่ายค่าเทอม จนเรียนจบ” เธอเล่าถึงอดีตในวัยเด็ก

เมื่อ เรียนจบ เธอตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าที่อเมริกา มันคือเมืองแห่งโอกาส ถึงไม่มั่นใจว่าจะอยู่รอดแน่นอน แต่ก็เชื่อว่าความขยันและอดทนจะทำให้เธอไม่อดตายอยู่ที่นั่น

ที่ สำคัญที่สุด เธออยากไปให้พ้นจากบ้านหลังนี้ หาเงินให้ได้มากๆ เพื่อที่แม่จะได้ไม่ต้องทำงานหนักอีก มันคือเดิมพันครั้งใหญ่ของครอบครัว ค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางคือทั้งหมดเท่าที่แม่และพี่สาวรวบรวมมาได้

ระหว่างทาง เธอแวะซื้อน้ำหอมกับบรัชออนปัดแก้ม เครื่องสำอางที่เคยเป็นแค่ความฝันในวัยเด็ก แต่ในวันนี้เธอตัดสินใจจะเป็นเจ้าของมัน เพื่อเตือนตัวเองว่าชีวิตต้องดีขึ้นดั่งความฝัน

เธอเหยียบแผ่นดินอเมริกาโดยมีเงินติดตัว 70 ดอลลาร์ จนกระทั่ง 3 สัปดาห์ผ่านไป เธอได้งานแรกเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารบุฟเฟ่ต์

“ตอน แรกก็คิดว่าเราพูดภาษาอังกฤษได้ แต่พอพูดจริงๆ คนฟังเราไม่รู้เรื่อง และต้องนั่งรถเมล์ไปเอง ทั้งๆ ที่นั่งไม่เป็น โดนคนที่ทำงานแกล้ง เพราะน้องเป็นคนไทยคนเดียวในร้าน พูดกับเขาก็ไม่รู้เรื่องเป็นการเริ่มชีวิตจากศูนย์”

เธอทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ รับงานเข้ากะเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารไทยทุกร้านที่มีในพอร์ทแลนด์ เพราะไม่เคยลืมว่ามาที่นี่เพื่ออะไร

“อยาก จะเก็บเงินเพื่อสร้างอนาคต และทุกอย่างแพงมาก ต้องทำงานหนักมากกว่าคนอื่น ถ้าอยากช่วยแม่ และมีบ้านเป็นของตนเอง ซึ่งมันเป็นความฝันตั้งแต่เด็กๆ”

6 ปีผ่านไปในฐานะเด็กเสิร์ฟ เธอบอกว่ารู้สึกไม่มีความสุข และเริ่มหมดหวัง กับชีวิต รู้สึกเป็นเหมือนเทียน ที่กำลังจะดับ ถ้าไม่อยากเป็นเด็กเสิร์ฟไปจนตาย ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต นั่นคือจุดเริ่มต้นของ “น้อง ข้าวมันไก่” หรือ NONG’S KHAO MAN GAI ที่ชาวพอร์ทแลนด์รู้จักกันดี

ที่ประเทศไทย การขายอาหารจานเดียวข้างถนนสามารถเลี้ยงชีพได้ แต่สำหรับที่นี่ เธอไม่รู้ว่ามันจะเวิร์คหรือเปล่า ยิ่งเป็นข้าวมันไก่ที่ฝรั่งไม่รู้จัก มันเป็นทั้งความแตกต่างและความเสี่ยงที่ชวนให้ลอง

นับตั้งแต่วันนั้น เธอใช้เงินทั้งหมดที่มีไปกับการพัฒนาสูตรข้าวมันไก่ ทดลองทำครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะรสชาติที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยง เธอทุ่มหมดหน้าตัก ถ้าไปไม่รอดก็ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่เหมือน 6 ปีก่อน

ข้าวมันไก่” ในดินแดนอาหารขยะ ไม่ต่างอะไรจากตัวเธอเองในวันแรกที่ไปเหยียบแผ่นดินอเมริกา มันดูผิดที่ผิดทางและแปลกแยก นั่นคืออุปสรรคในช่วงเริ่มทำธุรกิจของตัวเองอย่างจริงจัง

“คนไม่รู้จัก ข้าวมันไก่คืออะไร?” เธอเล่า เพราะถ้าพูดถึงอาหารไทย คนต่างชาติจะรู้จัก “ต้มยำกุ้ง” มากกว่าอาหารจานเดียวที่อยู่ในวิถีชีวิตคนไทยจริงๆ แต่เธอก็ผ่านปัญหานั้นมาได้ด้วยคุณภาพของสินค้าและบริการ

“มันไม่ใช่ แค่ไก่และข้าว แต่ต้องมั่นใจว่าลูกค้าแฮปปี้ ได้รับบริการที่ดีและรวดเร็ว แม่สอนมาว่า จงเป็นผู้ให้ก่อน แล้วจะได้รับ ต้องให้ความเคารพลูกค้า และอย่าลืมยิ้ม”

เธอบอกว่า คำสอนของแม่ทำให้เธอได้รับความช่วยเหลือจากหลายๆ คน เพราะนอกจากรสชาติแล้ว ความอ่อนน้อมและซื่อสัตย์แบบไทยๆ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากอยากอุดหนุนข้าวมันไก่ของเธอ

“ยัง จำวันที่ขายข้าวมันไก่ห่อแรกได้ จริงๆ ร้านต้องเปิดสิบโมง แต่วันนั้นฉุกละหุกมาก ข้าวก็หุงไม่ทัน กว่าจะเปิดได้ก็บ่ายโมง มีพี่คนไทยและเพื่อนที่รู้จักกันมารอซื้อ รวมถึงลูกค้าที่ดูเหมือนจะเป็นศิลปินด้วย เราก็บอกว่ายังไม่เสร็จ พี่ๆ เขาก็กลับมาซื้อตอนบ่ายโมง วันแรกขายหมดเกลี้ยง ดีใจมาก”

ยิ่งเวลาผ่านไป เธอยิ่งมั่นใจว่ากิจการ “น้อง ข้าวมันไก่” อยู่รอดแน่นอน แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็เรียนรู้ว่า แค่ทำข้าวมันไก่ดีๆ ยังดีไม่พอ เพราะในวันนี้ เธอมีพนักงานอีก 19 คนที่ต้องดูแล ทุกคนเรียกเธอว่า “เชฟน้อง

“สำหรับ ความท้าทายในตอนนี้คือการบริหารงาน บริหารคน การคงคุณภาพสินค้า และบริการ ต้องเรียนรู้เรื่องธุรกิจ ต้องเป็นผู้นำ เพราะวันนี้มีทีมมาช่วยงานแล้ว ยอมรับว่าถ้าไม่มีพวกเขา คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้”

ในขณะที่เธอวุ่นวายกับการทำธุรกิจในต่างแดน สถานการณ์ที่บ้านก็ดีขึ้นเป็นลำดับ เธอได้ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวตามที่ฝันไว้ แม่ไม่ต้องทำงานหนักอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่เธอภูมิใจที่สุด

“ที่บ้านดีขึ้นมากแล้ว พ่อหยุดกินเหล้า แต่พูดไม่ได้ เพราะเส้นเลือดในสมองแตก เป็นผลจากการกินเหล้า แต่แม่ก็ยังดูแลพ่อทุกวัน”

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแค่ไหน มันก็ยังคงมีอะไรบางอย่างให้รู้สึกขอบคุณ เพราะหากไม่มีความจน ความลำบาก และเสียงดูถูกดูแคลน ก็อาจจะไม่มี “น้อง ข้าวมันไก่” ในวันนี้

เธอ บอกว่า ความฝันจะกลายเป็นความจริงเมื่อเชื่อในตัวเอง เชื่อว่าทำได้ ลงมือทำ และทำให้ดีกว่าที่คนอื่นคาดหวัง...11 ปีผ่านไป เธอยังใช้น้ำหอมและบรัชออนตลับนั้นอยู่

เตรียมความพร้อม รับมือกับหน้าฝน

เข้าใกล้หน้าฝนขึ้นมาทุกทีแล้วค่ะ และเชื่อได้ว่าสาวๆหลายคนต้องเคยประสบปัญหาเครื่องสำอางหลุด ชุดเปียก รองเท้าพังกันอย่างแน่นอน มาดูกันดีกว่าค่ะว่าก่อนจะเข้าหน้าฝนในปีนี้เราควรจะเตรียมไอเท็มชิ้นไหนติด ตัวเพื่อพร้อมรับมือกันบ้างค่ะ

1.เครื่องสำอางกันน้ำ : เราควรเลือกใช้เครื่องสำอางชนิดเจลหรือสูตรน้ำที่เน้นความเป็นบางเบา เพื่อไม่ให้เครื่องสำอางเยิ้มลอกหลุดง่าย หรืออาจจะเลือกใช้เป็นสูตร Waterproof เลยก็ได้ค่ะ
2.ร่ม : ถือเป็นไอเท็มสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะจะสามารถช่วยให้เราเปียกฝนได้น้อยที่สุดนั้นเองค่ะ
3.เสื้อผ้าโทนสีเข้ม : เสื้อผ้าโทนสีเข้มหรือเสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าบางเบา ควรหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อยีนส์หรือเสื้อผ้าหนาๆ เพราะจะยิ่งทำให้เสื้อผ้าที่เปียกนั้นแห้งช้าลงค่ะ
4.รองเท้าหรือกระเป๋า : ควรเลือกใส่รองเท้าที่มีพื้นเป็นยางกันลื่น รองเท้าแตะรองเท้าส้นตึกที่ตัวรองเท้านั้นทำจากยางหรือพลาสติก หลีกเลี่ยงร้องเท้าส้นสูงหรือร้องเท้าผ้าใบ เพราะนอกจากจะเปียกและเดินลำบากแล้วยังทำให้รองเท้าของเราเสียหายหรือกาวลอก หลุดได้ง่ายขึ้นอีกด้วยละค่ะ ส่วนกระเป๋าควรเลือกเป็นกระเป๋าที่ทำจากวัสดุที่โดนน้ำแล้วไม่เสียหายจนเกิด ไปหรืออาจเลือกเป็นที่ทำจากพลาสติกเลยก็ได้ค่ะ
5.ยา : เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรพกติดกระเป๋าไว้เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ไข้หรือยาแก้แพ้ เพราะเวลาที่เราออกไปโดนฝนหรือถูกละอองฝนนั้น อาจจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวไม่ทัน จนทำให้ไข้ขึ้นหรือเป็นหวัดเลยก็ได้ค่ะ
นี้ก็ถือเป็นช่วงปลายร้อนต้นฝนกัน แล้วละ สาวๆก็อย่าลืมไปเตรียมเช็คอุปกรณ์ ไอเท็มต่างๆกันน้าว่าพร้อมที่จะเตรียมรับมือกับฤดูฝนในปีนี้กันรึยัง

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ล้วงลึก มิสทิฟฟานี่ สิ่งที่ยากสุดในชีวิตคือ “การเป็นตัวเอง”

ล้วงลึก มิสทิฟฟานี่ สิ่งที่ยากสุดในชีวิตคือ "การเป็นตัวเอง"

ที่จั่วหัวขึ้นมาแบบนี้ เพราะนี่คือ "คำตอบ" ที่ทำให้ "ใบหม่อน โสภิดา ศิริวัฒนานุกูล" ตอบคำถามชนะใจคณะกรรมการในรอบประกวด 3 คนสุดท้ายมิสทิฟฟานี่ 2015
ในค่ำคืนนั้น หลังจากสิ้นเสียงของเธอ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นกระหึ่ม และในไม่กี่วินาทีถัดมาพิธีกรก็ประกาศให้โสภิดา ศิริวัฒนานุกูล เป็นผู้คว้ามงกุฎมิสทิฟฟานี่ 2015 เป็นผู้ที่สวยพร้อมทุกองค์ทั้งภายในและภายนอก ตรงตามคอนเซ็ปต์การประกวด Beauty Re′al
คำถามในวันนั้นมีอยู่ว่า สิ่งที่ยากที่สุดในการเป็นมนุษย์คืออะไร?
ใบหม่อนตอบว่า "สิ่งที่ยากที่สุดในการเป็นมนุษย์ นั่นก็คือตัวของเรา การที่เราเป็นตัวของเราเอง เพราะคนเราทุกคนจะชอบเลียนแบบคนอื่น หรือชอบเลียนแบบต่างชาติ ดังนั้น ตัวเราก็จะไม่เป็นตัวเรา สิ่งที่ยากที่สุด นั่นคือการเป็นตัวของเราเอง" มิสทิฟฟานี่ 2015 ย้อนเล่าถึงวันประกวดระหว่างที่เดินสายขอบคุณสื่อมวลชน พร้อมกับรองอีก 2 คน "อลิซ" กานต์ชญา กัญจ์ชนะกุล
และ "แซน" พิมพ์นรา อธิพัฒน์เดชากร น้ำเสียงของเธอสดใส ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม
"มงกุฎมิสทิฟฟานี่เป็นความฝันของสาวประเภท 2 ทุกคน ใบหม่อนมาถึงตรงนี้ได้ ถือว่าเกินฝันแล้ว" เธอออกตัว
ย้อนกลับไปในช่วงวัยเยาว์ ใบหม่อนก็เหมือนกับสาวประเภท 2 หลายคนที่ไม่ได้รับการยอมรับจากคนในครอบครัว โดยเฉพาะผู้เป็น "บิดา"
"ใบหม่อนเป็นลูกคนเดียว และที่บ้านมีแต่ผู้หญิง จะมีผู้ชายอยู่ 2 คนคือคุณตากับคุณพ่อ จึงทำให้ตัวเองติดพฤติกรรมผู้หญิง อีกทั้งที่บ้านไม่ชอบลูกชายที่เฮ้วฮ้าว ไม่ชอบเกเร จึงเป็นคนเรียบร้อยมาตั้งแต่เด็ก จนแม่รู้ว่าชอบเป็นผู้หญิง แม่ก็ไม่ว่าอะไรและสนับสนุน แต่ขอให้เป็นเด็กดี อย่าดื้ออย่าซนกับแม่ และเราเป็นแบบนี้ สังคมข้างนอกจะมองว่าเราไม่ดี เราต้องทำตัวให้ดีๆ"
กานต์ชญา กัญจ์ชนะกุล, พิมพ์นรา อธิพัฒน์เดชากร
ถึงผู้เป็นมารดาจะเข้าอกเข้าใจ แต่ "พ่อ" ที่อยากได้ลูกผู้ชายก็พยายามที่จะสอนให้ลูกมีชีวิตเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป
"พ่อไม่อยากให้เราตุ้งติ้ง ก็อยากทำให้พ่อสบายใจ เลยลองไปเล่นกับเด็กผู้ชาย เผื่อว่าจะกลับมาเป็นผู้ชายจริงๆ แม้ในใจลึกๆ จะขัดกับความรู้สึก แต่พอเล่นแล้ว ไม่ใช่ กลับบ้านหัวโนทุกวัน เพราะเด็กผู้ชายเล่นกันรุนแรง ก็ได้แต่บอกว่า หนูไม่เอา ไม่เอาแล้ว หนูไม่ชอบอะไรแบบนี้"
ด้วยใจรักที่อยากจะเป็นผู้หญิง แต่ก็อยากทำให้ "พ่อยอมรับในสิ่งที่เป็น" จึงพยายามตั้งใจเรียนและทำกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน
"ใบหม่อนตั้งใจเรียนมากๆ สอบได้ที่ 1 มาตลอด พยายามแข่งกับเพื่อน แข่งกับตัวเอง ทำให้ตัวเองเป็นเด็กดีในสายตาพ่อ ซึ่งพ่อก็ยอมรับส่วนตรงนี้ได้ เพราะเวลาพ่อไปไหนก็มีแต่คนชมเราให้พ่อฟังว่า ลูกเป็นเด็กกิจกรรม เรียนก็เก่ง ได้ลูกดีแล้ว"
นอกจากจะสู้เพื่อที่จะได้เป็น "ตัวเอง" แล้ว ใบหม่อนยังสู้เพื่อ "ความฝัน" ซึ่งก่อนจะมาประกวดมิสทิฟฟานี่ เธอเดินสายประกวดเวทีสาวประเภท 2 ต่างๆ ทั่วประเทศมาแล้วกว่า 50 เวที เพื่อนำเงินรางวัลจากการประกวดมา "ส่งตัวเองเรียนหนังสือ"
"ที่บ้านฐานะไม่ได้ดีมาก และไม่อยากรบกวนแม่ ก็เดินสายประกวดตั้งแต่เรียนอยู่ปี 2 เป็นการประกวดสาวประเภท 2 ตามงานต่างๆ ทั้งงานสงกรานต์ งานลอยกระทง ก็มีทั้งได้รางวัลบ้าง ไม่ได้รางวัลบ้าง ตกรอบแรกก็มี แต่ไม่ว่าจะเงินรางวัลมากหรือเงินรางวัลน้อย เหนือ อีสาน กลาง ใต้ เราก็ไป เหมือนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เวทีไหนจะสมหวัง ไม่สมหวัง ก็เป็นประสบการณ์ให้อดทนและเข้มแข็ง"
เธอเดินตามความฝันทีละก้าว ทีละก้าว ทั้งเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย มีบ้างที่ท้อแท้ หากนั่นก็ไม่ทำให้ท้อถอย และวันนี้เธอก็ได้ "รางวัลชีวิต" ที่ไม่ได้มาด้วยเส้นทางที่โรยกลีบกุหลาบ แต่ได้มาเพราะความตั้งใจและอดทน
ภายหลังได้รับตำแหน่ง ใบหม่อนวัย 22 บัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณสุขชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา บอกว่า นอกจากจะตั้งใจเตรียมตัวเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมประกวดมิสอินเตอร์ เนชั่นแนล ควีน 2015 (Miss International Queen 2015) ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
สิ่งหนึ่งที่มุ่งมั่นจะทำคือ สร้างความเข้าใจกับสังคมให้เข้าใจสาวประเภท 2 มากขึ้น
"ใบหม่อนมีประสบการณ์เยอะ เพราะทำงานอยู่กับชุมชน สังคม เวลาเข้าไปในชุมชน ทุกคนไม่รู้หรอกว่าเป็นสาวประเภท 2 แต่พอเราแนะนำตัวเมื่อไหร่ ทุกคนจะรู้ทันที เพราะเราต้องแนะนำตัวว่าเป็น "นาย" ให้ทุกคนได้รู้ชื่อจริงของเราว่าเราเป็นใครมาจากไหน พอรู้ ทุกคนก็จะมีทัศนคติกับสาวประเภท 2 ว่าต้องเป็นคนที่ดัดจริต เยอะ ต้องอะไรตลอด ไม่เอา แอนตี้ ไม่ชอบ สาวประเภท 2 ไม่เอา จริตเยอะเกินไป"
"ทั้งหมดนี้เราไม่ได้อยากได้ความเห็นใจ แต่อยากให้เข้าใจ เหมือนใจแลกใจ เราสาวประเภท 2 ทุกคนไม่เคยหาเรื่องใครก่อน มีแต่ว่าทุกคนจะชอบว่าแรงๆ กับเรา ร่างกายของเราเป็นผู้ชายก็จริง แต่ใจเป็นผู้หญิง ใจจะอ่อนแอตลอด แค่คำหยาบบางคำก็ทำให้สะเทือนใจ พยายามอย่ามองเราว่า "ต่าง" ในเรื่องเพศ ให้มองที่ความสามารถ ทำอย่างไรที่เราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข"
ชีวิตมาถึงวันนี้ ใบหม่อนบอกว่า "ยังไม่ใช่ที่สุดของชีวิต"
"เราทุกคนไม่ว่าจะประสบความสำเร็จอะไรแล้ว เราฝันอะไรแล้ว แล้วเราประสบความสำเร็จอะไรแล้ว เราอย่าหยุดฝันแค่นั้น เราต้องต่อยอดตัวเองไปให้ได้อีก เช่น ใบหม่อนได้เป็นมิสทิฟฟานี่ ถ้าหยุดอยู่แค่ตำแหน่งนี้ ไม่ก้าวต่อ ไม่คิดที่จะทำงานวงการบันเทิง ไม่อยากที่จะช่วยสังคม ทุกอย่างก็จะหยุด เหมือนโลก ถ้าโลกหยุดหมุน ทุกอย่างบนโลกก็จะหยุดหายไป แต่ถ้าโลกยังหมุนอยู่ ทุกอย่างมันก็ยังดำเนินชีวิตต่อไป"
นี่คือ "ตัวตน" ของมิสทิฟฟานี่คนล่าสุด ที่ทำสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตคือ "คง" ความเป็น "ตัวเองที่ดี" จนกระทั่งได้รับ "มงกุฎงาม" เป็นรางวัลชีวิต

ว่ายน้ำได้ไหม? ... ในวันนั้น(ของเดือน)

ว่ายน้ำได้ไหม? ... ในวันนั้น(ของเดือน)
คอลัมน์ คุยกับหมอพิณ โดย พ.ญ.พิณนภางค์ ศรีพหล
คอลัมน์ คุยกับหมอพิณ
พ.ญ.พิณนภางค์ ศรีพหล
email:doctorpin111@gmail.com

สวัสดีค่ะ เป็นผู้หญิงแท้ จริงแสนลำบากนะคะ เพราะหญิงแท้ (ส่วนใหญ่ ช่วงวัยเจริญพันธุ์) จะต้องมี "วันนั้น" ของเดือน จะทำอะไรก็ไม่คล่องตัว ต้องเตรียมผ้าอนามัย ใส่เสื้อผ้าสีเข้มขึ้น (กันพลาด เรื่องราดๆ เล็ดๆ) กิจกรรมต่างๆ ก็อาจจะทำได้ไม่สะดวกนัก แต่ช้าก่อนค่ะ เป็นหญิงแท้จริงในยุคปัจจุบันก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น วันนั้นของเดือน ไม่ได้เป็นอุปสรรคในกิจกรรมต่างๆ ขนาดนั้นค่ะ
วันก่อนคุยกันเรื่องกิจกรรมบนเตียงกันไปแล้ว วันนี้เราจะมาคุยกันถึง วันนั้นของเดือน กับกิจกรรมทางน้ำค่ะ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ ดำน้ำตื้นดำน้ำลึกนะคะ
"วันนั้นของเดือน สามารถว่ายน้ำได้หรือไม่"
คำตอบคือ ได้ค่ะ โดยเราสามารถใช้ผ้าอนามัยแบบสอดใส่เข้าไปในช่องคลอด ซึ่งผ้าอนามัยแบบสอดจะคอยซึมซับเลือดที่ไหลออกมา ทำให้เลือดไม่เล็ดราดออกมา โดยควรจะเปลี่ยนก่อนลงน้ำ และหลังขึ้นจากน้ำทันที ไม่ควรใส่นานเกิน 8 ชั่วโมงนะคะ
ตอนใส่ไม่ต้องกลัวผ้าอนามัยจะหายวับเข้าไปในร่างหรือจะหลุดแพร่ดออกมาทาง สายน้ำ (ขอให้เชื่อมั่นในช่องคลอดสตรีนะคะ ว่ามันคือช่องมหัศจรรย์ค่ะ) เพราะมันมีสายที่ห้อยอยู่ ไว้สำหรับดึงออกค่ะ ดังนั้นตอนว่ายน้ำก็ต้องแต๊บสายให้ดี เก็บสายไว้ในชุดว่ายน้ำ หรือบิกินี่ให้เรียบร้อยนะคะ
"แล้วผ้าอนามัยแบบแผ่นล่ะ ?"
สาวๆ ที่ใส่เสื้อยืดขาสั้นวิ่งลงทะเล ทั้งๆ ที่มีผ้าอนามัยแปะอยู่ ขอบอกไว้เลยค่ะว่า เมื่อคุณๆ วิ่งลงน้ำแล้ว ผ้าอนามัยและแผ่นไยดรายวีฟ มันจะดูดน้ำทะเลมาแทนเลือด ทำให้ใส่ไปก็เท่านั้นค่ะ ไม่สามารถซึมซับเลือดอะไรได้
ส่วนกาวที่แปะระหว่างผ้าอนามัยกับกางเกงใน ก็จะเสื่อมสภาพลง ทำให้ผ้าอนามัยเลื่อนหลุดไปมาได้ ดังนั้น ผ้าอนามัยแบบแผ่น ไม่แนะนำอย่างมากค่ะ
"เคยได้ยินว่าเวลามีประจำเดือน ก็สามารถว่ายน้ำได้ ไม่ต้องใส่ผ้าอนามัยแบบสอดหรือแบบอะไรเลยก็ว่ายน้ำได้ เพราะแรงดันน้ำดันเลือดไม่ให้ออกมา จริงหรือ"
เวลาลงน้ำเลือดประจำเดือนก็สามารถไหลเล็ดออกมาได้เช่นกันค่ะ แต่ในสระหรือในน้ำทะเล น้ำที่ปริมาณมากอาจทำให้เลือดเจือจางจนอาจจะมองไม่เห็นเท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าในวันมาน้อย อาจจะพอว่ายได้ แต่ถ้าวันมามาก ถ้าไม่ได้ใส่ผ้าอนามัย ขึ้นจากสระมา เลือดก็จะไหลออกมาอยู่ดีนะคะ และก็ไม่แนะนำ เพราะเรื่องสุขอนามัยของตัวคุณเองและผู้อื่นค่ะ
วันนั้นของเดือนสามารถออกกำลังกายเบาๆ ได้นะคะ ไม่ว่าจะเป็นบนบกหรือในน้ำ ขอให้ดูแลเรื่องสุขอนามัยเป็นหลักเท่านั้นเองค่ะ สวัสดีค่ะ

รู้ไว้...ห่างไกลโรคไม่ติดต่อ เพชฌฆาตแห่งศตวรรษ 21

รู้ไว้...ห่างไกลโรคไม่ติดต่อ เพชฌฆาตแห่งศตวรรษ 21
กลุ่มโรคไม่ติดต่อ หรือ Non-Communicable Diseases (NCDs) เป็นปัญหาทางสุขภาพที่ สำคัญมากในยุคปัจจุบัน เป็นกลุ่มโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ จนมีการเรียกโรคกลุ่มนี้ว่า "โรคแห่งศตวรรษที่ 21" ในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อราว 71 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในประเทศ ซึ่งโรคไม่ติดต่อที่เป็นสาเหตุการตายของคนไทยมากกว่าโรคอื่น ๆ ถึง 3 เท่า คือ โรคหลอดเลือดและหัวใจ ส่วนโรคที่พบมาก 4 อันดับแรกคือ โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคระบบหายใจผิดปกติเรื้อรัง

ในการประชุมวิชาการประจำปีศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ประจำปี 2558 จึงได้ชูประเด็นนี้เป็นประเด็นหลักในการเสวนาแลกเปลี่ยนระหว่างบุคลากรทาง การแพทย์และสาธารณสุข เพื่อการดูแลรักษาผู้ป่วย รวมทั้งเป็นการเผยแพร่ความรู้เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้รู้เท่าทันและป้องกัน ก่อนจะเกิดโรค
แพทย์หญิงวรรณีนิธิยานันท์อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลกล่าว ว่า กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเกิดจาก 3 องค์ประกอบ คือ 1.ความเสื่อม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและเปลี่ยนแปลงไปตามวัย เกิดขึ้นกับอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย โดยทั่วไปความเสื่อมไม่ใช่โรค แต่ความเสื่อมที่มากเกินหรือเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจะแสดงออกเป็นโรค 2.พันธุกรรม เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดมาจากบิดามารดา หรือเกิดจากการดัดแปลงของสายพันธุกรรมในบุคคลใดบุคคลหนึ่งภายหลัง ซึ่งพันธุกรรมไม่สามารถแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนได้ 3.สิ่งแวดล้อม สิ่งรอบตัวที่คนเราสัมผัสหรือใช้ชีวิตอยู่แต่ละวัน
นั่นหมายถึงกลุ่มโรคไม่ติดต่อเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่ ไม่ถูกต้อง ดังนั้นผู้ที่อยากป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยน ปัจจัยแวดล้อม ปรับพฤติกรรมการบริโภคที่ดีและถูกต้อง มีกิจกรรมการออกแรงอย่างเหมาะสมทุกวัน ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ ไม่เครียด การดำรงชีวิตที่ถูกต้องควรเริ่มตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา ต่อเนื่องไปถึงวัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน จนถึงวัยสูงอายุ จึงจะทำให้การป้องกันโรคไม่ติดต่อมีประสิทธิภาพสูงสุด
ด้าน นายแพทย์สุริยะ วงศ์คงคาเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือพฤติกรรมของผู้ป่วย ดังนั้นในการรักษาผู้ป่วยโรคกลุ่มนี้ซึ่งทางการแพทย์รักษามีสูตรสำเร็จแบบ ตายตัวจึงอาจไม่เห็นผล เพราะพฤติกรรมของคนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน
ยกตัวอย่าง คนไข้โรคเบาหวานแต่ละคนกินอาหารไม่เหมือนกันในปริมาณไม่เท่ากัน หรือแม้แต่คนไข้คนเดิม แต่ละวันก็กินอาหารไม่คงเส้นคงวา แต่แพทย์ให้ยาแบบคงเส้นคงวาในขนาดเท่าเดิม จึงไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ หรือถ้าคนไข้เบาหวานมีอาชีพเป็นกรรมกรต้องใช้แรงงานเยอะ ก็จำเป็นต้องกินอาหารเยอะ แพทย์จะสั่งให้คนไข้กินข้าวไม่เกิน 2 ทัพพีไม่ได้ การรักษาจึงต้องปรับไม่ให้เป็นไปตามสูตรสำเร็จเดิม ๆ ต้องปรับให้สิ่งที่พูดกันในทางวิชาการแพทย์มาเจอกับชีวิตจริงของคนไข้ให้ได้
ดังนั้นการรักษาโรคในกลุ่มโรคไม่ติดต่อ ส่วนใหญ่ตัดสินโดยพฤติกรรมของบุคคล ไม่ใช่ตัดสินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คนไข้ต้องมีระบบการดูแลตัวเองที่ดี แพทย์ไม่สามารถสั่งให้คนไข้กลับไปออกกำลังกายได้ หรือสั่งให้ลดอาหารหวาน มัน เค็ม พฤติกรรมเหล่านี้ขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคล ส่วนทางการแพทย์ต้องมีระบบบริการปฐมภูมิที่มีประสิทธิภาพ ต้องเข้าใจคนไข้ ส่งเสริมให้คนไข้ใช้ชีวิตอยู่กับความพอดี และสอนให้คนไข้ประเมินตนเองให้เป็น ให้รู้จักสังเกตตนเองโดยไม่ต้องรอมาตรวจที่โรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว คนไข้ต้องปรับพฤติกรรมตัวเอง เพื่อให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนคนที่ยังไม่เป็นโรคถ้าปรับพฤติกรรมได้ก็จะลดความเสี่ยงได้อีกเยอะ

เวียนศีรษะ บ้านหมุน โคลงเคลง

เวียนศีรษะ บ้านหมุน โคลงเคลง : สัญญาณบ่งชี้ความผิดปกติของอวัยวะการทรงตัว

‘เวียนศีรษะ’ (dizziness) เป็นอาการที่ทุกคนไม่อยากประสบกับตนเอง เป็นคำที่มีความหมายกว้าง อาจหมายถึงมึนเวียนศีรษะ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติได้หลากหลายสาเหตุ กับคำว่า เวียนศีรษะแท้ (vertigo) ที่มักจะมีอาการหมุนร่วมด้วย ซึ่งประการหลังนี้เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของอวัยวะการทรงตัว

ใน ที่นี้จะขอกล่าวเพียง เวียนศีรษะแบบหมุน อาจมีความรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมหมุน หรือตัวเองหมุน ร่วมกับอาการโคลงเคลง บางรายเป็นเพียงระยะสั้น ๆ อยู่เพียงไม่กี่วินาทีแล้วหายไป หรือ อาจจะนานเป็นหลายนาทีจนถึงหลายชั่วโมง บางรายจะมีอาการหูอื้อ มีการได้ยินบกพร่อง หรือมีเสียงผิดปกติในหู สาเหตุของความผิดปกตินี้ เกิดได้ตั้งแต่ความผิดปกติของระบบการทรงตัวส่วนปลาย (หูชั้นในและเส้นประสาทการทรงตัว) หรือ ระบบการทรงตัวในระบบประสาทส่วนกลาง
สำหรับอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนที่เกิดจากอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นในหรือประสาทหู มีโรคพบบ่อย ๆ ได้ดังนี้

หิน ปูนในหูชั้นในเคลื่อน (Benign paroxysmal position vertigo - BPPV) เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการเวียนศีรษะที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากหินทรงตัว (Calcium Carbonate – otolithic crystal) ในหูชั้นในเคลื่อนหลุดออกจากที่อยู่เดิม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะเป็นระยะสั้น ๆ ขณะเปลี่ยนท่า เช่น ขณะล้มตัวลงนอน หรือลุกขึ้นนั่ง

น้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease) เกิดจากความแปรปรวนของน้ำในหูชั้นใน (endolymphatic hydrop)ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะนานหลายนาทีหรืออาจต่อเนื่องเป็นหลาย ชั่วโมง อาการจะหายไปแล้วกลับมาเป็นอีกได้ โดยอาจจะห่างเป็นเดือนหรือเป็นปี เมื่อโรคเป็นรุนแรงขึ้นอาการจะเป็นถี่ขึ้น และหูข้างที่มีปัญหาจะได้ยินเสียงน้อยลงเรื่อย ๆ ร่วมกับเสียงผิดปกติในหู

เส้น ประสาทการทรงตัวอักเสบ (Vestibular neuritis) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตรงเส้นประสาทการทรงตัว ทำให้สัญญาณประสาทการทรงตัวที่ส่งไปสู่สมองไม่สมดุล ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะนานหลายวัน โดยไม่มีอาการทางระบบประสาทสมอง หลังจากหายเวียนศีรษะแบบหมุนแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการโคลงเคลง และทรงตัวไม่ดีไปอีกระยะหนึ่ง

เนื้องอกประสาทหู (Acoustic neuroma) ผู้ป่วยจะมีอาการเสียงผิดปกติในหู การได้ยินลดลง ร่วมกับเวียนศีรษะแบบโคลงเคลง ซึ่งเกิดจากการที่มีเนื้องอกจากประสาทหู หากปล่อยไว้นาน ก้อนเนื้องอกจะโตขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถไปกดเส้นประสาทสมองและเนื้อสมองได้

นอก จากนี้ยังมีโรคอื่น ๆ ได้แก่ โรคประสาทหูถูกทำลายจากยา (ototoxicity), โรคประสาทหูดับฉับพลัน (Sudden sensorineural hearing loss) หรือ การเสื่อมถอยของอวัยวะการทรงตัว เป็นต้น

สำหรับขั้นตอนการรักษา ในระยะแรกแพทย์จะทำการรักษาตามอาการ โดยผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะมากร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน ควรได้รับการรักษาตามอาการโดยแพทย์ใกล้ตัว หรือแพทย์ประจำตัว เพื่อให้อาการทรมานจากการเวียนศีรษะลดลง และไม่ขาดสารน้ำ ขั้นตอนต่อไป ในรายที่สงสัยว่าสาเหตุน่าจะมาจากความผิดปกติของอวัยวะการทรงตัว แพทย์จะทำการตรวจทดสอบต่าง ๆ เพื่อให้ได้คำวินิจฉัยและวางแผนการรักษา

ใน การรักษาจำเพาะต่อโรคชนิดต่าง ๆ ปัจจุบันได้มีการพัฒนาการรักษาขึ้นมากตามลำดับ ตั้งแต่การทำ Canalith Repositioning Maneuver, การผ่าตัด Posterior Semicircular canal occlusion ในรายที่เป็น BPPV, การรักษาโดยการฉีดยาเข้าไปสู่หูชั้นใน (Intratympanic injection) ในรายโรคน้ำในหูชั้นใน หรือโรคหูดับ เป็นต้น

ส่วนขั้นตอน สุดท้ายคือการฟื้นฟู ผู้ป่วยบางรายถึงแม้จะหายเวียนศีรษะแบบฉับพลันแล้ว พยาธิสภาพของโรคยังคงทำให้มีการเสียสมดุลของการทรงตัว มีอาการโคลงเคลงเรื้อรัง จึงทำให้คุณภาพชีวิตด้อยลงไป ในรายเหล่านี้สามารถช่วยได้โดยการฝึกฝนหรือทำกายภาพบำบัด (Rehabilitation) เพื่อให้การทำงานและสมดุลของการทรงตัวดีขึ้น
ผู้ที่สงสัยว่าตนเองอาจมีอาการเข้าข่ายโรคในกลุ่มที่เกี่ยวกับระบบประสาท หู สามารถเข้ารับการตรวจโดยละเอียด ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยในการตรวจวินิจฉัยเฉพาะทาง ตั้งแต่เครื่องมือที่ใช้ตรวจความผิดปกติทั่วไป เช่น เครื่องตรวจการได้ยิน (audiogram) และ เครื่องตรวจภาวะแรงดันของหูชั้นกลาง (tympanogram) จนถึงเครื่องมือที่สามารถตรวจการทำงานของระบบประสาทหูได้ลึกไปถึงระดับก้าน สมอง (Auditory brain stem response, ABR) เครื่องทดสอบการทำงานของเซลล์ขนในหูชั้นใน (Otoacoustic emission, OAE) และเครื่องตรวจการได้ยินในระดับก้านสมอง (Auditory steady state response, ASSR)

ส่วนการตรวจระบบประสาทการทรงตัว ทำได้โดย เครื่องมือเฉพาะสำหรับตรวจการทำงานของอวัยวะทรงตัวในหูชั้นใน (Videonystagmography, VN6) เครื่องตรวจแรงดันน้ำในหูชั้นใน (Electrocochleography, ECOG) และเทคโนโลยีใหม่ที่ทางโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์นำมาใช้ในคลินิกเกี่ยวกับผู้มี ปัญหาด้านการทรงตัว ที่เรียกว่า Posturography ซึ่งครอบคลุมการทำงานตั้งแต่การตรวจหา การวินิจฉัย และการฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการทรงตัว ด้วยระบบการทดสอบ 6 ระดับ ทำให้สามารถวินิจฉัยแยกได้ว่าความผิดปกติของอาการมาจากระบบการทรงตัว สายตา สมอง หรือเกิดจากสาเหตุใด เพื่อการรักษาที่ตรงจุด พร้อมขั้นตอนการฟื้นฟูมากกว่า 20 โปรแกรมตามลำดับอาการ
อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน แม้ได้รับการรักษาแล้วผู้ป่วยบางรายก็ยังต้องได้รับการฟื้นฟูในระยะยาว หรือในบางโรคอาจส่งผลเรื้อรังและแสดงอาการมากขึ้นหากไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำให้ผู้ที่เคยมีประวัติการเวียนศีรษะบ้านหมุน โคลงเคลง หรือสงสัยว่าตนเองอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัว ควรเข้ารับการตรวจร่างกายและตรวจทดสอบจากแพทย์ เพื่อการรักษาและการฟื้นฟูเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

เอแลน ดาร์โรเซอ สุดยอดเชฟหญิงแห่งปี 2015

เอแลน ดาร์โรเซอ เชฟชาวฝรั่งเศสที่เป็นต้นแบบของตัวละครผู้เข้มงวดในภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอด นิยม "ราทาทูอี้" หรือชื่อภาษาไทยว่า พ่อครัวตัวจี๊ด หัวใจคับโลก ได้รับการยกย่องให้เป็นเชฟหญิงที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2015 ในการประกาศผลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว


ดาร์โรเซอ วัย 48 ปี มีภัตตาคารที่ตั้งชื่อตามชื่อของเธอ 2 แห่ง โดยแห่งหนึ่งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ส่วนอีกแห่งอยู่ที่โรงแรมคอนัคท์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งได้มิชลินสตาร์ 2 ดาว
ดาร์โรเซอได้รับการยกย่องให้เป็นเชฟหญิงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก จากนิตยสารเรสเทอรองต์ ของอังกฤษ โดยเธอจะได้รับรางวัลดังกล่าวนี้ในงานมอบรางวัล "เดอะ เวิลด์ส ฟิฟตี้ เบสต์ เรสเทอรองต์ส" ที่กรุงลอนดอนในเดือนมิถุนายนนี้
"เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับรางวัลนี้ เนื่องจากมีเชฟผู้หญิงที่มีความสามารถอยู่ทั่วโลก และฉันคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้รับรางวัลนี้สักครั้งหนึ่ง" ดาร์โรเซอกล่าวในแถลงการณ์และว่า
"ความหวังของฉันคือ ผู้ชนะรางวัลนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหญิงสาวอายุน้อย ซึ่งรวมถึงลูกสาวของฉัน ให้พวกเขาเดินตามความปรารถนาของตนและหมั่นฝึกฝนขัดเกลาทักษะความสามารถของตน ไม่ว่าจะประกอบอาชีพไหนก็ตาม"
ดาร์โรเซอ เป็นที่รู้จักดีในวงการทำอาหาร เธอเป็น "ซิงเกิลมัม" หรือแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกสาวบุญธรรมที่รับมาเลี้ยง 2 คน และเป็นแรงบันดาลใจต้นแบบของตัวละครคอลเลตต์ ในภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นปี 2007 เรื่องราทาทูอี้ ของดิสนีย์ พิกซาร์ ซึ่งเป็นเรื่องราวของหนูที่สามารถทำอาหารได้และเริ่มต้นการเป็นเชฟใน ภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสแห่งหนึ่ง
"อาหารฝรั่งเศสเป็นอาหารเก่าแก่แบบชนชั้นสูงที่อยู่บนพื้นฐานของกฎที่ เขียนขึ้นโดยชายแก่โง่ๆจำนวนหนึ่งกฎที่ออกแบบมาเพื่อทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้ เลยสำหรับผู้หญิงที่จะก้าวเข้ามาสู่โลกนี้" คอลเลตต์กล่าวไว้ในภาพยนตร์
"แต่ว่าฉันก็มาอยู่ที่นี่ ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นได้น่ะเหรอ นั่นเพราะว่าฉันเป็นเชฟที่เข้มแข็งที่สุดในครัวแห่งนี้น่ะสิ"

นิตยสารเรสเทอรองต์ระบุว่า ดาร์โรเซอ "เป็นที่รักและได้รับการยกย่องชื่นชม" ไปทั่วอุตสาหกรรมการทำอาหาร และยังระบุด้วยว่า เธอเป็นคนอ่อนหวาน น่ารักมากกว่าตัวละครที่สร้างขึ้นโดยใช้เธอเป็นต้นแบบมากนัก
"สไตล์ในการทำอาหารแบบก้าวร้าวของตัวละครคอลเลตต์แตกต่างจากดาร์โรเซอตัวจริงอย่างมาก"นิตยสารเรสเทอรองต์ระบุ
"แต่ความเป็นคนใจกว้างที่เธอเปิดเผยในช่วงฉากท้ายๆตอนใกล้จะจบเรื่องเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับตัวจริงมากกว่า"
ดาร์โรเซอเกิดในตระกูลเชฟ โดยเธอเป็นเจเนอเรชั่นที่ 4 ที่ประกอบอาชีพนี้ เธอเริ่มต้นทำของหวานในงานปาร์ตี้ของครอบครัวตั้งแต่อายุได้ 12 ปี และได้รับการฝึกฝนภายใต้การดูแลจากเชฟชั้นนำชื่อดังอย่าง อแลง ดูคาสส์ หลังจากนั้นเธอได้รับช่วงดูแลภัตตาคารของพ่อเมื่อปี 1995 และเปิดกิจการร้านอาหารของตัวเองในปี 1999
ดาร์โรเซอบอกว่า ปู่ของเธอเป็นแรงบันดาลใจในสไตล์การทำอาหารตามฤดูกาลและให้ความสำคัญกับส่วน ผสมเป็นอันดับแรก โดยหนึ่งในอาหารจานเอกที่ถือว่าเป็นลายเซ็นหรือ "ซิกเนเจอร์" ของเธอคือกุ้งล็อบสเตอร์อบเนยสาหร่ายทะเลพร้อมแอสพารากัสขาวโรยด้วยขนมปัง ป่นผสมไส้กรอกบอททาร์กา และฟัวกราส์จากแคว้นลองส์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสบ้านเกิดของเธอ ผสมโกโก้ มะปี๊ด และขนมปังขิง
ดาร์โรเซอเปิดเผยว่า แรงบันดาลใจในการคิดค้นเมนูอาหารของเธอมาจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบเห็นจาก การเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆกับชาร์ล็อตต์วัย 8 ขวบ และคีเตอรี วัย 6 ขวบ ลูกสาวทั้ง 2 คนของเธอ

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เกือบตายเพราะ ครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง

เกือบตายเพราะ HELLP Syndrome
“จู่ๆวันนั้นเอมก็รู้สึกจุกแถวๆ ลิ้นปี่ ทำอย่างไรก็ไม่หาย ตอนแรกนึกว่ากินน้ำอัดลมเยอะ แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นว่าต้องแอดมิดเพื่อเตรียมผ่าคลอดลูกแทน ทั้งๆที่ตอนนั้นอายุครรภ์แค่ 27 สัปดาห์เท่านั้นเอง”


“ก่อน หน้านี้ไม่มีอาการอะไรเลย ทุกอย่างปกติดี ไปพบหมอทุกครั้งที่นัด น้ำหนักก็ขึ้นตามปกติ ไม่มีโรคประจำตัวใดๆทั้งสิ้น แต่สุดท้ายมันก็ยังเกิดขึ้นจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด” คุณแม่เอม-อภัณชนิต สัทธรรม คุณแม่ของน้องเทมส์-ด.ช. ฆฤน ประชานุรักษ์ วัย 7 ปี เล่าย้อนให้ฟังถึงเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้น เมื่อครั้งที่อุ้มท้องน้องเทมส์อยู่

“วันนั้นประมาณ 6 โมงเย็นก็เริ่มรู้สึกจุกแถวๆ ลิ้นปี่ ก็นึกว่ากินน้ำอัดลมเยอะเกินไป พอถึง 3 ทุ่ม ก็เริ่มหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก อาการจุกก็ยังไม่หาย เลยตัดสินใจไปโรงพยาบาล พอไปถึงห้องฉุกเฉินวัดความดันได้ 220 คุณหมอเลยให้แอดมิด และบอกว่าอาจต้องยุติการตั้งครรภ์

“ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองมีภาวะครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง และมีกลุ่มอาการ HEELP Syndrome แต่คิดว่าคงเป็นหนักแล้ว เพราะตับบวม มีไข่ขาวรั่วในปัสสาวะ หัวใจเต้นผิดปกติ และความดันสูงมาก ซึ่งเสี่ยงว่าแม่จะชักหรือเส้นเลือดในสมองแตกได้

“แต่ตอนนั้นก็ยัง ไม่สามารถผ่าคลอดได้ทันที เพราะเอมมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หากผ่าตัดอาจทำให้เลือดไหลไม่หยุดจนทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งก็เจอปัญหาว่าเกล็ดเลือดไม่พออีก คืนนั้นทราบว่าทีมคุณหมอต้องประสานงานหาเลือดกันอย่างหนักเพื่อให้มีเลือด และเกล็ดเลือดเพียงพอ

“ระหว่างนั้นอาการของเอมก็หนักขึ้นเรื่อยๆ อยู่ดีๆ ก็มองไม่เห็น ตาพร่า เบลอไปหมด แล้วก็ปวดหัวมาก ความดันไม่ลดลงเลยจนถึงเช้า แล้วที่ตกใจและจำได้ติดตาคือเลือดออกเยอะมากตอนแปรงฟัน เยอะจนท่วมแก้วน้ำเลย จากนั้นคุณหมอก็แจ้งว่าคงต้องเลือกชีวิตคุณแม่ไว้ก่อน เพราะถ้ายื้อต่อไปอาจไปทั้งคู่

“พอรู้ก็พยายามตั้งสติ หลังจากนั้นคุณหมอก็อัลตร้าซาวด์ท้องดูและคำนวณว่าน้ำหนักลูกประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่งคุณหมอบอกว่าน้ำหนักเท่านี้สามารถเลี้ยงเขานอกครรภ์ได้ ระหว่างนั้นเกล็ดเลือดของเอมก็ต่ำลงไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ผ่าตอนนี้ เท่ากับรอเวลาเท่านั้น

“โชคดีมาก ระหว่างที่ผ่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไรเลย น้องเทมส์คลอดออกมาน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 800 กรัมเท่านั้น ซึ่งเอมไม่ได้เห็นหน้าลูกทันที เพราะต้องไปเข้าตู้อบ และส่งไปอยู่อีกโรงพยาบาล ส่วนเอมต้องพักรักษาตัวเองอีก 7 วัน ถึงจะไปหาลูกได้

คุณที-นที ประชานุรักษ์ คุณพ่อน้องเทมส์ เล่าให้ฟังถึงวินาทีที่ได้เห็นลูกครั้งแรกว่า “ลูก ตัวเล็กมาก เนื้อก็ติดกระดูก ตัวก็แดง มีสายระโยงระยางและท่อเต็มไปหมด น้องเทมส์ต้องอยู่ในตู้อบถึง 4 เดือนครึ่ง โดยตลอดเวลาเหล่านั้นก็มีเรื่องให้ลุ้นตลอด ทั้งกินอาหารไม่ได้ แม้กระทั่งนมแม่ ต่อมไทรอยด์ใต้สมองมีปัญหา เป็นโรครูท่อปัสสาวะเปิดต่ำ ซึ่งต้องผ่าตัดตอน 1 ขวบ มีแคลเซียมเกาะที่ไต มีอาการซีด ต้องให้เลือด และอีกมากมาย ต้องคอยมอร์นิเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด

ถึง แม้คุณเอมและคุณทีจะพบเจอกับเรื่องราวหนักหนาแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งสัมผัสได้คือ การมีสติ คุณทีกล่าวว่า “สิ่งที่เราทำได้เมื่อเจอเรื่องหนักหนาสาหัสคือการให้กำลังใจกันและกัน พูดคุยกัน ท้อได้แต่ต้องดึงตัวเองกลับมาให้เร็วที่สุด มันไม่ใช่แค่สู้เพื่อตัวเรา แต่ต้องสู้เพื่อลูกด้วย เพราะลูกต้องการกำลังใจจากเรา ไม่อย่างนั้นเขาจะเติบโตขึ้นมาไม่ได้”

“ใช่ ค่ะ ต้องสู้ ครั้งแรกที่เจอลูก เอมอุ้มลูกไม่ได้เหมือนแม่คนอื่น ได้แต่ยื่นมือเข้าไปจับในตู้อบ ตอนที่ยื่นมือเข้าไป ก็คิดในใจว่า ยังไงก็เกิดเป็นลูกแม่แล้ว สู้ไปด้วยกันนะ ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไร นิ้วลูกก็เริ่มขยับ หลังจากนั้นเลยคิดว่า ลูกตัวแค่นี้ยังสู้เลย เราก็ต้องสู้เหมือนกันค่ะ” คุณแม่เอมกล่าวปิดท้าย
Meet the Doctor
ภาวะครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง และกลุ่มอาการ HEELP Syndrome คืออะไรนั้น นายแพทย์อานนท์ เรืองอุตมานันท์ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และเป็นแพทย์เจ้าของเคสคุณแม่เอม ขออธิบายให้ผู้อ่านได้เข้าใจมากขึ้นกันค่ะ

รู้จักกับครรภ์เป็นพิษ และกลุ่มอาการ HEELP Syndrome
ครรภ์ เป็นพิษถือเป็นโรคแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงสูงสุดของคนท้อง อาการของครรภ์เป็นพิษคือ ท้องแล้วความดันโลหิตจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้อวัยวะภายในร่างกาย เช่น ตับ ไต หัวใจ เริ่มพัง โดยแบ่งครรภ์เป็นพิษออกเป็น ครรภ์เป็นพิษธรรมดา และครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง

สำหรับครรภ์เป็นพิษธรรมดา มักจะมีความดันสูงและปวดหัวอย่างเดียว ความดันอยู่ที่ประมาณ 140/90 ตรวจเจอไข่ขาวในปัสสาวะ ขาบวมมาก และมักพบตอนอายุครรภ์ 35-36 สัปดาห์หรือท้องใกล้แก่เท่านั้น ในขณะที่ครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง นอกจากความดันสูงมาก ตรวจเจอไข่ขาวแล้ว ยังพบว่ามีเกล็ดเลือดต่ำ อวัยวะพัง เช่น ตับบวม และมักเกิดได้ตลอดทุกช่วงอายุการตั้งครรภ์

ส่วนกลุ่มอาการ HEELP Syndrome หมอขอเรียกว่า ครรภ์เป็นพิษขั้นเทพ เป็นระดับตัวท็อปของครรภ์เป็นพิษ และมักเกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยส่วนตัวหมอเพิ่งเจอเคสนี้เป็นรายที่ 3 เท่านั้น สำหรับ HEELP Syndrome จะมีอาการหลักๆ คือ มีการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง ตรวจพบเอ็นไซม์ของตับเนื่องจากตับถูกทำลาย และเกล็ดเลือดต่ำ นอกจากนี้ยังมีอาการหัวใจโต ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนเกิดจากความดันโลหิตที่สูงมากๆ อย่างเช่นในกรณีของคุณแม่เอมที่มีความดันสูงถึง 220 ซึ่งวิธีรักษาโรคนี้ให้หายคือการยุติการตั้งครรภ์เท่านั้น

HEELP Syndrome นั้นสามารถเกิดกับใครก็ได้ แม้แต่คุณแม่ที่สุขภาพแข็ง แรงดี มักเกิดกับท้องแรก และสามารถเกิดซ้ำได้ในท้องที่สอง ร้อยละ 15-30 เป็นภาวะที่นอกเหนือความคาดหมายทุกอย่าง ซึ่งยังไม่มีใครสามารถหาสาเหตุได้

เคสคุณแม่เอม และการรักษา

ตอน นั้นคุณแม่เอมมาโรงพยาบาลด้วยความดัน 220 ซึ่งสูงมาก จัดว่าวิกฤติทีเดียว อีกทั้งมีอาการเจ็บบริเวณลิ้นปี่ หากเป็นครรภ์เป็นพิษธรรมดาจะไม่มีอาการเจ็บแบบนี้ เมื่อตรวจก็พบว่าเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก พบเอ็นไซม์ของตับ ซึ่งตรงกับอาการของ HEELP Syndrome และหัวใจพองโต ต้องให้ยากระตุ้นหัวใจ ยากันชัก ยาลดความดัน

จากนั้นหมอจึงอัลตร้าซาวด์ดูเด็กในครรภ์ พบว่าน้ำหนักน้อย แต่อย่างไรก็ต้องคลอด เพื่อรักษาชีวิตของทั้งคู่ จึงฉีดยากระตุ้นปอดเด็กโดยฉีดผ่านเส้นเลือดของแม่

อีกปัญหาหนึ่งที่ พบก่อนผ่าคลอดคือเกล็ดเลือดต่ำ ปกติเกล็ดเลือดของคนเราจะอยู่ที่ประมาณ 2 แสน แต่ของคุณแม่เอมเหลือแค่ 8 หมื่นเท่านั้น (เกล็ดเลือดต่ำจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด เพราะไม่แข็งตัว) ยิ่งยื้อไว้เกล็ดเลือดยิ่งต่ำลง โดยเวลาต่อมาเกล็ดเลือดคุณแม่เอมลงไปที่ 6 หมื่น ทำให้ต้องรีบผ่าทันที โชคดีที่การผ่าตัดราบรื่นดีมาก สุดท้ายสามารถผ่าตัดคลอดได้สำเร็จ ปลอดภัยทั้งแม่และลูก ส่วนการดูแลคนไข้หลังคลอดก็คือการให้ยารักษาหัวใจและความดัน ส่วนตับนั้นค่อยๆดีขึ้นเอง ใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ก็ค่อยๆหายดี

การดูแลตัวเองสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
ควร มาหาหมอทันทีที่รู้ว่าตัวเองท้อง เพราะหมอจะเช็กได้ว่าคุณมีการตั้งครรภ์หรือไม่และครรภ์ปกติหรือไม่ โดยหมอจะตรวจเช็ค 3 ประการคือ มีการตั้งครรภ์จริง ตั้งครรภ์ในมดลูกจริง และหัวใจลูกเต้นจริง บางคนมักไปหาหมอตอนที่ท้องใหญ่แล้วโดยที่ไม่รู้ว่าครรภ์มีความผิดปกติ เช่น ท้องนอกมดลูก เด็กไม่มีตัว เป็นต้น ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ถึงร้อยละ 13 เลยทีเดียว นอกจากนี้ควรไปตามนัดทุกครั้ง สงสัยอะไร หรือมีความผิดปกติอะไรแม้เพียงเล็กน้อยก็อย่าปล่อยไว้ เพราะอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกของภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้

สสส.เสนอลดขนาดซองน้ำตาล จาก 8 กรัมเหลือ 3-4 กรัม ช่วยกินหวานลดลง

สสส.เสนอลดขนาดซองน้ำตาล จาก8กรัมเหลือ3-4กรัม ช่วยกินหวานลดลง
 
ทพญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ(ด้านทันตสาธารณสุข) และเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวถึงกรณีที่ สสส.เสนอแนวคิดลดขนาดซองน้ำตาลมาตรฐานลงจาก 8 กรัมให้เหลือ 3-4 กรัมนั้น มาจากการทำวิจัยถึงพฤติกรรมของประชาชนในการรับประทานน้ำตาล โดยน้ำตาลที่ได้รับในแต่ละวันนั้นมาจากหลายแหล่ง แต่ในวัยทำงานส่วนใหญ่จะได้รับการอาหารว่างเวลาประชุม ซึ่งพบว่าแต่ละมื้อสูงถึง 300 กิโลแคลอรี่ ซึ่งที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 100 กิโลแคลอรี่ เมื่อทำงานวิจัยก็พบว่า น้ำตาลที่ใช้มักจะใช้เพียงครั้งละ 1 ซองและใช้จนหมดในแต่ละครั้ง แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนขนาดซองน้ำตาลก็พบว่ายังใช้ 1 ซองเท่าเดิม
ทพญ.จันทนา กล่าวว่า มีการทำวิจัย 2 ครั้งในปี 2552 และ ปี 2556 ซึ่งพบว่ามีการเปลี่ยนขนาดซองจาก 8 กรัม เป็น 6 กรัม แต่พฤติกรรมก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือใช้เพียง 1 ซอง ในการเปลี่ยนขนาดซองน้ำตาลเป็น 3-4 กรัม เพื่อเป็นการช่วยลดปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับในมื้ออาหารว่างลง ซึ่งถือเป็นผลดีกับผู้บริโภค ซึ่งผู้ประกอบการได้เคยหารือกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และยินดีที่จะปรับเปลี่ยนซองมาตรฐานลงเพื่อให้เป็นทางเลือก และจะมีการทำงานกับส่วนราชการเพื่อเป็นองค์กรตัวอย่างที่จะปรับเปลี่ยนการ ใช้ซองน้ำตาลลงให้เป็นขนาด 3-4 กรัมด้วย นอกจากนี้ ยังจะมีโครงการรณรงค์ในการใช้ผลไม้เพิ่มเข้าไปในมื้ออาหารว่างให้มากขึ้น และลดขนาดของชิ้นขนมลงเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีมากขึ้น
ทพญ.จันทนา กล่าวว่า สำหรับในกลุ่มวัยเด็ก โครงการรณรงค์เด็กไทยไม่กินหวาน ได้ทำในโรงเรียนมาอย่างต่อเนื่องโดยสามารถเพิ่มจำนวนโรงเรียนปลอดน้ำอัดลม ได้ถึงร้อยละ 83 ในปีก่อน ซึ่งพบว่านอกจากน้ำอัดลม ยังต้องเร่งให้ความรู้ถึงเครื่องดื่มกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มน้ำชาขวด
นอกจากนี้ นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย ยังทดลองให้ติดป้ายเตือนการใส่น้ำตาลในร้านขายเครื่องดื่มชา กาแฟ ซึ่งพบว่าทำให้ผู้บริโภคตระหนักมากขึ้นและเปลี่ยนพฤติกรรมให้ใส่น้ำตาลน้อย ลง

แอ้ม นรี บุณยเกียรติ จากครูสอนเต้น พลิกผันเข้าวงการอาหาร

จากความหลงใหลในการเต้นรำตั้งแต่วัยเยาว์ จนมาเป็นอาจารย์สอนเต้น แล้วอะไรล่ะ ที่เป็นจุดพลิกผันทำให้คุณแอ้ม นรี บุณยเกียรติ ก้าวเข้ามาสู่วงการร้านอาหาร เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการร้าน The Never Ending Summer มาติดตามเรื่องราวของสาวเก่งอย่างเธอกันค่ะ

Q: อยากให้เล่าถึงความเป็นมา ว่ามาเป็น ผู้จัดการร้าน The Never Ending Summer ได้อย่างไรค
A: เริ่มตั้งแต่สมัยเรียน จะเรียนไปทำงานไป และเรามักจะนำเงินที่ได้จากการทำงานไปกินนี่แหละ แล้วส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารที่ไม่ได้ดัง หรือที่ที่เพื่อนไม่ค่อยไปทาน เป็นนักแสวงหาว่างั้นเถอะ พอเรียนจบก็ไปเป็นแอร์โอสเตสอยู่ 1 ปี ก่อนตัดสินใจออกมาเรียนต่อ และด้วยความที่เราเรียนนาฏศิลป์มาตลอด พวกบัลเล่ต์ แดนซ์ ออกแบบท่าเต้น เลยไปปรึกษาพี่ๆ เขาว่าอยากเรียน Food Designer แต่พี่ๆ ที่เป็นเชฟบอกว่าFood Designer มันมีอะไรมากกว่าแต่ไป take course เลยสรุปว่าบินไปเรียนทำอาหารฝรั่งเศสที่สถาบัน เลอ กอร์ดอง เบลอ ที่ซิดนีย์ ระหว่างนั้นก็ไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารไทย ซึ่งเดิมทีเราก็ไม่ได้คลั่งไคล้อาหารไทยขนาดนั้นนะ เหมือนเด็กที่ทานอาหารไทยเป็นปกติ แต่พอไปที่โน่นเห็นว่าอาหารไทยได้อยู่ในร้านดีๆ ดูมีราคา เลยคิดว่าเราก็น่าจะทำได้ดี เพราะเราคุ้นเคยกับอาหารไทย เลยคุยกับคุณแม่(คุณศศิวิมล บุญยเกียรติ) มากขึ้น เพราะคุณแม่เป็นคนชอบทำอาหารไทยอยู่แล้ว

จากนั้นเรามีโอกาสได้ไป เรียนทำอาหารไทยกับอาจารย์ศรีสมร คงพันธ์ และอาจารย์วันดี ณ สงขลา เพราะอยากเรียนพวกแกะสลัก เรียนทำขนมไทย เพราะว่าที่โน่นไม่มี ตอนแรกก็คิดว่าจะกลับไปที่ซิดนีย์ ทำร้านอาหารไทยที่โน่น แต่สุดท้ายก็กลับมาไทย พอดีกับที่เจ้าของร้านที่ซิดนีย์ (WARINDA GOH) เขามาเปิดร้านให้ลูกชายที่ไทย เราก็เลยได้เข้ามาช่วยจัดการ บริหารร้าน ทำให้เข้าใจระบบจัดการร้านอาหารไทย ว่าต้องทำยังไงบ้าง แล้วสุดท้ายก็ได้มาเป็นผู้จัดการร้านนี้ค่ะ
Q: แล้วจุดเริ่มต้นของร้าน The Never Ending Summer นี้มีที่มาอย่างไรคะ
A: เริ่มแรกพี่ด้วง(คุณดวงฤทธิ์ บุนนาค) มาหาที่จะทำเป็นร้านอาหาร แล้วมาเจอที่ตรงนี้ ดูแล้วสเปซมันใช่ ที่ตรงนี้เหมาะสำหรับเปิดร้านอาหารก็เลยมาเปิดที่นี่ แล้วพอดีเรารู้จักกับพี่ด้วง ชอบทานอาหารคล้ายๆ กัน มีความคิดบางอย่างคล้ายๆ กัน ก็เลยได้มาทำร้านนี้ด้วยกัน ซึ่งตอนแรกตั้งใจจะทำแค่เป็นโรงอาหารเล็กๆ ไว้สำหรับพนักงาน หรือทำให้พี่ด้วงทาน แต่ทำไปทำมากลายเป็นร้านอาหารเฉยเลย
Q: วันเปิดร้านวันแรกเป็นอย่างไรบ้างคะ
A: เราเปิดร้านวันแรกวันที่ 21 ธันวาคม โดยที่เราก็ไม่ได้ดูฤกษ์ดูอะไรเลยนะ แค่มีความพิเศษที่ว่าเพื่อนพี่ด้วงจะมาทานข้าวกัน เราก็เลยเปิดร้านวันนั้นเป็นวันแรกเลย บอกเลยว่าไม่มีความพร้อมอะไรเลย ไม่มีการ Grand Opening อาศัยแค่ว่านัดเพื่อนมาทานข้าวแค่นั้น
หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาถามเรื่อยๆ ว่าร้านเปิดยัง ส่วนมากจะเป็นคนที่อยู่คอนโดแถวนี้ สุดท้ายก็กลายเป็นเปิดร้านไปโดยปริยาย ซึ่งลูกค้าแรกๆ จะเป็นคนไทย ก็จะมีคอมเม้นท์เรื่องรสชาติอาหารบ้าง เราก็มีการปรับเปลี่ยนรสบ้างบางอย่าง เพิ่งมีหลังๆ ที่จะเป็นชาวต่างชาติมาเยอะขึ้น เราก็มาคิดว่าจะทำอย่างไรให้ถูกปากต่างชาติด้วย แต่ชาวต่างชาติที่มาจริงๆ แล้วเค้าอยากมาชิมอาหารไทยที่เป็นอาหารไทยจริงๆ มากกว่าอาหารไทยที่ทำมาเพื่อให้ถูกปากเค้า ก็จะมีการปรับแค่เล็กๆ น้อยๆ ค่ะ

Q: คุณแอ้มทำอยู่ร้านนี้มากี่ปีแล้วคะ
A: เราทำอยู่ที่นี่ได้ประมาณปีครึ่งแล้ว ตอนแรกๆ ที่มาทำเราก็ว่าเรารู้เรื่องอาหารไทยประมาณหนึ่ง นอกจาก สูตรอาหารไทยของคุณด้วงแล้ว ยังได้รับความเมตตาจาก พี่นพ (รสดีเด็ด) ซึ่งได้มาทาน และแนะนำคุณยายอาภรณ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ซึ่งท่านทำอาหารในวัง คุณยายคงเห็นว่าเราเป็นเด็กรุ่นใหม่ แต่สนใจเรื่องอาหารไทย ท่านก็เลยกรุณาให้เราเข้าไปดู เราก็พยายามทำมากขึ้น
ร้านเราตอนแรกก็ทำเป็นร้านอาหารไทย แต่ตอนนี้จะมีเด็กที่มาจากที่ต่างๆ ซึ่งไม่เคยทำอาหารไทยเลย มาอยู่ในครัวกลายเป็นลูกผสม อย่างบางคนก็เคยอยู่ในร้านอาหารที่ได้ดาวมิชลิน ที่ฝรั่งเศสมาก่อน หรือบางคนก็จบวิศวะ ที่บ้านไม่ ชอบให้เรียนทำอาหาร แต่น้องเค้าจะมีความพยายามมาก มุ่งมั่นมาก ไม่เคยยอมแพ้อะไรเลย แล้วก็จะมีเชฟฝรั่ง ซึ่งเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งรายการแข่งขันมาสเตอร์เชฟของโครเอเชีย และเชฟรุ่น ป้าๆ คอยดูแลสูตรอาหารโบราณ นอกจากนี้ยังมีบาร์เทนเดอร์ ซึ่งชนะผลโหวตจากทั่วโลก จากการประกวด Jamie Oliver's Search for a Cocktail Star ได้รางวัล และกลับมาประจำอยู่ที่ร้าน
Q: แล้วเรามีส่วนช่วยแนะนำอะไรน้องบ้างคะ
A: เราจะช่วยเรื่องให้ความมั่นใจ เป็นที่ปรึกษา คอยsupport น้องมากกว่า เราว่าเด็กเก่งเหมือนกันหมด แค่เค้าไม่มั่นใจ เราก็คอยให้คำแนะนำเค้ามากกว่า อย่างเราเองเวลาเราไม่มั่นใจเรายังโชคดีที่มีพี่ด้วง คอยให้คำปรึกษา
Q: มีปัญหาอะไรที่ทำให้ท้อบ้างไหม
A: เราเคยมีปัญหาเรื่องหาคนไม่ได้ คนทำงานได้ไม่ดี แต่พอถึงวันที่มีเจอคนดีๆ ทำงานดีๆ มันก็รู้สึกดีขึ้นค่ะ แล้วเราก็ไม่ได้มีประสบการณ์เยอะ เราก็พยายามหาจุดที่มันลงตัวกับทุกคนมากที่สุด เราอยากให้ทุกคนได้อะไรที่เค้าอยากได้ เราก็พยายามหาบาลานซ์ให้ทุกอย่าง เราโชคดีที่เรามีทีมงานที่ดี ทำให้ทุกอย่างลงตัวไปได้ด้วยดี (ยิ้ม)
Q: อะไรคือความสนุกของงานที่ทำ
A: เวลาเหมือนทุกอย่างจะลงตัว เราก็จะมีปัญหาใหม่ๆ มาให้แก้ไขตลอด อย่างเช่น ทุกอย่างกำลังไปได้สวยๆ เนื้อวัวเจ้าที่เราสั่งประจำส่งของมาไม่เหมือนเดิม เราก็ต้องไปควานหาเนื้อเจ้าใหม่ที่มีคุณภาพตามที่เราต้องการ หรืออย่างลูกน้องบางคน ทำงานกำลังเข้าขากันอยู่ดีๆ ก็เกิดลาออก เราก็ต้องไปหาคนมาใหม่ ซึ่งกว่าจะได้คนที่ทำงานเข้าขากันได้มันก็ต้องใช้เวลา อันนี้แหละที่ทำให้เรารู้สึกสนุก เพราะเหมือนได้ challenge ตลอดเวลา
Q: แล้วอะไรคือความไม่สนุก
A: ไม่สนุกตรงที่เราเป็นคนกลางของทุกๆ เรื่อง เวลาเค้ามีปัญหากัน คือเราก็อยากทำให้ทุกคนมีความสุขที่จะทำงานกับเรา แต่หลังๆ เริ่มปล่อยแล้ว ใครอยากทำอะไรก็แล้วแต่ เริ่มปลง แล้วก็จะมีเรื่องการบริหารจัดการเรื่องระบบต่างๆ ในร้าน เรื่องการเงินที่ต้องดูแลบริหารให้ดี ซึ่งเราว่ามันไม่สนุกเลย
Q: มีอะไรที่อยากจะทำต่อจากนี้ไหมคะ
A: ตอนนี้ที่คิดไว้คือจะขยายร้านออกไป เราคิดคอนเซปท์กันไว้แล้ว ว่าอยากได้ร้านที่ไว้สำหรับนั่งคุยนั่งทานกันสบายๆ แล้วก็จะมีการจัดเสวนากันเดือนละครั้ง โดยอาจจะเชิญผู้มีความรู้ต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน มานั่งทานไปคุยไป ในบรรยากาศสบายๆ ยังไงก็ฝากไว้ด้วย คอยติดตามกันนะคะ

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กลัวผิวดำ เว่อร์ไป ระวังจะขาด วิตามินดี

สาวๆ ที่ทาครีมกันแดดมีค่าเอสพีเอฟ (SPF) สูงๆ รู้หรือไม่ว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ "ขาดวิตามินดี" ได้ !!
ข้อมูลดังกล่าวได้รับการเปิดเผยในงานแถลงข่าว "คุณมี D พอหรือยัง" จัดโดย บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวิตามินดี พร้อมรณรงค์ให้คนไทยหันมาให้ความใส่ใจต่อการดูแลสุขภาพให้ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน
งานวิจัยล่าสุด พบว่าคนไทย 1 ใน 3 ขาดวิตามินดี ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรม "หลบแดด" หรือ "นั่งทำงาน" อยู่แต่ในห้องแอร์ของคนวัยทำงาน

ในขณะที่งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่าคนในกรุงเทพฯถึงร้อยละ 64.6 มีสถิติของการพร่องวิตามินดี หรือมีระดับวิตามินดีที่ไม่เพียงพอ ที่จะทำให้มีสุขภาพกระดูกและสุขภาพทั่วไปเป็นปกติ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้ในระยะยาว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ แพทย์ที่ปรึกษาเวชศาสตร์ครอบครัว ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลพญาไท 2 กล่าวว่า วิตามินดีเป็นวิตามินที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง เมื่อผิวหนังสัมผัสกับแสงอาทิตย์ที่มีรังสีอัลตราไวโอเลตบี (UVB) ที่ประเทศไทยเป็นเมืองร้อนและมีแดดจ้า แต่คนไทยวัยทำงานส่วนใหญ่กลับมีระดับวิตามินดีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะคนในเขตกรุงเทพฯ นั่นเป็นเพราะปัจจุบันพฤติกรรมคนเมืองหรือคนวัยทำงาน มักจะหลีกเลี่ยงแสงแดดเพราะกลัวผิวเสียทาครีมกันแดดที่มาสารป้องกัน (SPF) ในระดับสูง
โดยปัจจัยเสี่ยงต่อการขาดวิตามิน คือ สาวๆ ที่ชอบทาครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ (SPF) สูงๆ และหนุ่มสาวออฟฟิศที่ไม่ค่อยออกแดดหลีกเลี่ยงแดด หรือไม่ค่อยออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงมลภาวะทางอากาศทำให้รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดมาถึงผิวหนังได้น้อย ลง ทำให้กระบวนการสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกายเราลดลงไปด้วย อีกทั้งยังขาดอาหารที่อุดมด้วยวิตามินดี
ส่วนในผู้สูงอายุ การสังเคราะห์วิตามินต่างๆ ของร่างกายก็เสื่อมลงตามธรรมชาติ จึงมีโอกาสขาดวิตามินดีมากกว่า ส่วนคุณแม่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในระยะให้นมบุตร จึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ จากการศึกษาพบว่า ร้อยละ 90% ของสตรีที่รับประทานวิตามินบำรุงครรภ์ ก็ยังสามารถพบภาวะขาดวิตามินดีได้อย่างแพร่หลาย
นพ.สันต์แนะนำว่า เพื่อให้ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ สำหรับกลุ่มคนที่มีโอกาสเสี่ยงขาดวิตามินดี หรือกลุ่มคนที่สภาพร่างกายจะเสียหายหากขาดวิตามินดี ควรตรวจวัดระดับวิตามินดีเพื่อให้ทราบว่าคุณมีวิตามินดีเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่เพียงพอก็ปรับการใช้ชีวิตให้ได้รับวิตามินดีมากขึ้นด้วยวิธีอย่างใด อย่างหนึ่งในสามอย่างหรือทั้งสามอย่างคือ
1.ทานวิตามินดีเสริม
2.สามารถทาครีมกันแดดบริเวณใบหน้าได้แต่บริเวณ ขาและแขนอาจจะทาบ้างไม่ทาบ้าง เพื่อให้ได้สัมผัสกับแสงแดด (ที่ไม่ผ่านกระจก) มากขึ้น ควรเป็นแดดในช่วง 10.00-15.00 น. ครั้งละ 15 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และ
3.รับประทานอาหารอุดมวิตามินดี เช่น ปลาค้อด ปลาแซลมอน ปลาทูน่า เห็ดตากแห้ง นมเสริมวิตามินดี เป็นต้น
"แสงแดด" ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ อย่ากลัวผิวเสียมากเกินจนทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่สำคัญ

เพิ่มศักยภาพสมองให้ลูกน้อย ด้วยการพัฒนาประสาทสัมผัสทั้ง 7!!

เพิ่มศักยภาพสมองให้ลูกน้อย ด้วยการพัฒนาประสาทสัมผัสทั้ง 7 !!
ประสาทสัมผัสทั้ง 7 นั้น มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองของลูกน้อยอย่างมากมาย ซึ่งสมองของเด็กจะประมวล และประเมินสิ่งที่ร่างกายได้รับเข้ามาผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง 7 ส่งผลให้เด็กๆ เกิดการจดจำ เรียนรู้ และวางแผนจัดการได้อย่างเป็นระบบ รวดเร็วและเหมาะสม ดังนั้นการบูรณาการประสาททั้ง 7 อย่างเหมาะสมนั้น จึงมีส่วนสำคัญในการกำหนดลักษณะเฉพาะของแต่ละคน และความสามารถอันจำเป็นอย่างยิ่งกับการดำรงชีวิตของลูกน้อยที่เติบโตมาในโลก ยุคปัจจุบัน

มาทำความรู้จัก ประสาทสัมผัสทั้ง 7 และการสร้างเด็กฉลาดด้วยการฝึกประสาทสัมผัสทั้ง 7
ดร.วสุนันท์ ชุ่มเชื้อ หัวหน้าหน่วยวิจัยคลินิกคอกนิทีฟ ศูนย์วิจัยวิชาการด้านการพัฒนาการมนุษย์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว เล่าว่าจากการศึกษาค้นคว้า ประสาทสัมผัสมีด้วยกัน 7 ด้าน พ่อแม่ต้องคอยส่งเสริมให้ลูกฝึกฝนประสาทสัมผัสทุกด้านผ่านกิจกรรมต่างต่าง
1. การสัมผัส เป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นจากตัวรับสัมผัสที่อยู่ทั่วร่างกายซึ่งถูกกระตุ้น จากสิ่งเร้า ความร้อน ความเย็น การจับ สัมผัส หรือการแตะผ่านทางผิวหนัง สามารถฝึกประสาทสัมผัสด้านนี้ง่ายๆ อย่างการเล่นปั้นดินน้ำมัน ทราย หรือให้ลูกได้ลองจับวัสดุหลายๆ แบบที่มีผิวสัมผัสต่างกัน ก็เป็นการพัฒนาทักษะทางด้านนี้แก่ลูกน้อยได้เช่นเดียวกัน
2. การมองเห็น เช่น การอ่าน การเขียน การนับจำนวน การกะระยะ การแยกแยะความชัด มัว สว่าง แสง และสีต่างๆ คุณพ่อคุณแม่อาจลองฝึกด้วยการเล่นเกมฝึกสายตา อาทิ เล่นเกมหาภาพที่ซ่อนอยู่ใต้ภาพ หรือจับคู่ภาพหรือสิ่งของ
3. การฟัง ช่วยให้ลูกมีพัฒนาการด้านการสื่อสาร ทำให้ลูกน้อยสามารถรับรู้และจำแนกเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ การฝึกทักษะด้านการฟังอาจทำได้โดยการฝึกทักษะการฟัง และจับคู่เสียงที่เหมือนกัน หรืออาจให้ลูกน้อยลองเดินและเคลื่อนไหวตามเสียงเคาะ
4. การรับรส เป็นการรับรู้ที่มีผลต่อความสุขและยังช่วยเตือนถึงสิ่งที่เป็นพิษที่อาจเป็น อันตรายหากกินเข้าไปอีกด้วย อาจลองฝึกทักษะทางด้านนี้โดยให้ลองชิมรสชาติต่างๆ เช่น รส หวาน เค็ม เปรี้ยว ขม เป็นต้น หรือจะพูดคุยเกี่ยวกับอาหารและรสชาติก็มีส่วนช่วยได้เช่นกัน

5. การรับรู้กลิ่น เช่น กลิ่นสารเคมี หรือกลิ่นโมเลกุลในอากาศ ซึ่งการฝึกฝนประสาทรับรู้กลิ่นของลูกน้อยโดยการให้ดมกลิ่นต่างๆ หรืออาจจะเล่นเกมปิดตาดมกลิ่นต่างๆ

6. การทรงตัว ระบบการเคลื่อนไหวและการทรงตัวเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยประสานการเคลื่อนไหว ของตาและศีรษะ และส่งผลต่อความสามารถในการทรงตัว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถฝึกฝนทักษะด้านนี้ให้แก่ลูกน้อยได้ โดยผ่านกิจกรรมการเคลื่อนไหวในทิศทางต่างๆ เช่น การกระโดด การนอนกลิ้ง เล่นวิ่งกระต่ายขาเดียว ยืนบนกระดานทรงตัว เป็นต้น
7. การรับรู้ตำแหน่งบนร่างกาย ช่วยให้เรารับรู้ถึงส่วนต่างๆ ของร่างกาย และสามารถควบคุมและวางแผนการเคลื่อนไหวอย่างราบรื่น ซึ่งการส่งเสริมให้เด็กได้บูรณาการประสาทสัมผัสทั้ง 7 นั้น เด็กจะมีศักยภาพสมองพร้อมที่จะเรียนรู้ และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ งานวิจัยทางประสาทวิทยาศาสตร์ ระบุว่า สมองเด็กในช่วงแรกเกิดถึง 3 ปีนั้น เป็นช่วงเวลาทองที่ สมองมีพัฒนาการการเรียนรู้ และการเชื่อมโยงของใยประสาท หรือการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทที่ดีที่สุด เป็นช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ ต้องส่งเสริมพัฒนาการลูกน้อยผ่าน ประสาทสัมผัสทั้ง 7 ใยประสาทที่ถูกส่งเสริมจะพัฒนาและคงอยู่ต่อไป ส่วนใยประสาทที่ไม่ได้รับการกระตุ้นหรือใช้งานก็จะ หายไป เมื่อเข้าสู่ช่วง 6 – 10 ปี

การที่เซลล์สมองของลูกน้อยจะสามารถทำการเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิผล นั้น นอกจากจะเกิดจากการเลี้ยงดูที่ดีแล้ว ยังต้องมาจากโภชนาการที่ดีด้วย
สร้างเด็กฉลาดด้วยโภชนาการที่ดี
คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายควรให้ความสำคัญกับการเลือกโภชนาการที่เหมาะสมให้ กับลูกในวัยระหว่าง 1-6 ปีหรือวัยก่อนเรียน โดยเด็กควรได้รับอาหารมื้อหลัก 3 มื้อ ที่มีคุณค่าสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่และหลากหลาย อาหารว่างไม่เกินวันละ 2 มื้อ และที่สำคัญควรให้เด็กๆ ดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ทั้งนี้ก็เพราะการได้รับสารอาหารที่เพียงพอจะส่งผลให้เด็กสามารถเรียนรู้ปฏิ สัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์ สังคม และ สิ่งแวดล้อมผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 7 ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นการพัฒนาศักยภาพสมองของลูกน้อยได้อย่างเต็มที่และสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งหากเด็กๆ ได้รับการชี้แนะ และส่งเสริมการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 7 แล้วนั้น ก็จะทำให้เด็กมีร่างกาย จิตใจ และระบบประสาทที่ทำงานร่วมกันได้อย่างบูรณาการ เด็กก็จะเติบโตมาอย่างมีคุณภาพและมีศักยภาพที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จในที่ สุด

เข้าครัวกับแม่อ้อมและน้องนาวา

ตั้งแต่แวบแรกที่เจอ ความประทับใจในตัวแม่ลูกคู่นี้ก็บังเกิดกับเรา คุณอ้อม พิยดา และ น้องนาวา พัชรนันท์ จุฑารัตนกุล สวมชุดที่เหมือนกันราวกับแฝดต่างวัยออกมาพบทีมงาน เด็กหญิงวัยสองขวบกว่ายิ้มสดใสพร้อมยกมือไหว้กล่าวสวัสดีอย่างมีมารยาทเช่น เดียวกับคุณแม่ของเธอ หลังกล่าวทักทายและเตรียมครัวกันอยู่สักครู่ บทสนทนานี้ก็เริ่มขึ้นพร้อมๆ กับภารกิจช่วยกันปรุงอาหารตามประสาแม่ลูกสุดน่ารัก


ด.ญ.อ้อมผู้รักสุขภาพและการทำอาหาร “อ้อมเป็นคนชอบทำอาหารตั้งแต่เด็กตอนเล็ก ๆ ชอบแข่งทำอาหารกับน้องแล้วให้คุณแม่ชิมว่าใครชนะ (หัวเราะ) เพราะช่วงปิดเทอมอ้อมไปบ้านสวน ของคุณยายที่จังหวัดนครนายก ท่านทำอาหารและขนมไทยรับประทานเอง พวกเด็กอย่างอ้อมต้องผลัดกันกวนมะม่วงเพื่อทำมะม่วงกวน คั้นใบเตยทำสังขยา นั่งบนกระต่ายขูดมะพร้าวเตรียมกะทิไว้ทำอาหาร คงเป็นเพราะคลุกคลีอยู่ตรงนั้นมาตลอด เราเลยชอบทำอาหารไปโดยปริยาย”

ไม่ ใช่แค่ชอบทำอาหาร แต่คุณอ้อมยังใส่ใจเรื่องโภชนาการของตัวเองมาตั้งแต่เด็กอีกด้วย “อ้อมเป็นคนเฮลตี้มาตั้งแต่เด็กเลิกกินน้ำอัดลมไปตั้งแต่ ม.4 เพราะเห็นหินตรงที่ขายน้ำอัดลมมันสึก เลยเริ่มคิดว่าอันตราย คือตอนแรกอ้อมเฉย ๆ กับเรื่องโภชนาการ แต่มีครั้งหนึ่งเรากินสะตอเข้าไปพอปัสสาวะออกมาแล้วแบบ อื้อฮือ! กลิ่น

อะไร ขนาดนี้ เราเลยเข้าใจเลยว่า นี่แหละที่เขาบอกกันว่า You are what you eat. กิน อะไรเข้า ไปในร่างกายมันก็ได้แบบนั้นจริงๆ หลังจากนั้นเวลากินอะไรจะคิดก่อน แต่ไม่ใช่ว่าไม่กินของไม่มีประโยชน์เลยนะคะก็กินบ้าง (หัวเราะ) แต่เวลากินจะยับยั้งชั่งใจว่าพอแล้วดีไหม กินแล้วมันไม่ดีต่อสุขภาพ”
ส่งต่อสุขภาพดีให้ลูกรัก “ด้วยความที่เราสนใจเรื่อง โภชนาการอยู่แล้ว พอมีลูกเราจึงอยากเลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้เขา อ้อมเลยหาข้อมูลอาหารเด็กเพิ่มขึ้นอีกเยอะมากเพราะคิดว่าอาหารคือสิ่งสำคัญ ที่ช่วยให้เขามีร่างกายแข็งแรง มีพัฒนาการสมองที่ดีโดยเด็กควรได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่และไม่ควรปรุงรสจัดเกินไป อ้อมจึงทำอาหารให้ลูกกินเอง เพราะเราจะได้ควบคุมเรื่องเหล่านี้ได้ พอทำเสร็จก็ถ่ายรูปลงอินสตาแกรมพร้อมวิธีทำ คนที่ติดตามก็ชอบกันมากจนเครืออมรินทร์ติดต่อให้ทำคุกบุ๊ก Nava’s Menu by Aom Phiyada อ้อมตัดสินใจง่ายเลย เพราะเรามีเมนูที่ทำให้ลูกกินเป็นประจำอยู่แล้วและอยากแบ่งปันให้คุณแม่ท่าน อื่น ๆ รวมถึงอยากเก็บเอาไว้ให้ลูกดูตอนเขาโตด้วยว่า นี่ไง เมนูที่ลูกชอบตอนเด็ก ๆ ที่แม่เคยทำให้กิน”

จิตวิทยากับจานโปรดของลูก “อ้อมกับสามี (อาร์ต ศรา จุฑารัตนกุล) ใช้จิตวิทยาเยอะมาก สรรหาอยู่ตลอดว่าเราจะทำอย่างไรให้ลูกกินอาหาร เลยคิดจากพื้นฐานว่าถ้าเป็นตัวเราเอง เวลามีอาหารเยอะมากกองอยู่ตรงหน้าแล้วบอกว่าเราต้องกิน เราคงไม่อยาก แต่ถ้ามาทีละน้อย สมองจะสั่งการเองว่ามันน่ากิน ยิ่งถ้าหายาก สมองจะสั่งการว่ามันอร่อย พี่อาร์ตเลยเสนอว่าลองซ่อนผักในข้าวดูไหมให้เหลือนิดเดียวพอ ปรากฏว่านาวากินแล้วถามว่าอันนี้อะไรอ้อมบอกว่าผัก แกบอกว่าอร่อย แต่ทำไมมีน้อยจัง แล้วก็หาผักใหญ่เลย หรือบางทีก็เล่นละคร เช่น พี่อาร์ตกินตำลึงแล้วบอกว่าอันนี้อร่อยมากเลยแม่จ๋า ลองชิมสิ อ้อมกินแล้วบอก โอ้โฮ อร่อยจัง จนนาวาต้องถามว่าอะไรคะ ขอนาวากินบ้าง พอกินแล้วก็อร่อยตามพ่อแม่ เรียกว่าเป็นอุปาทานหมู่กันไปเลย” (หัวเราะ)

“ลูก” สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก ปัจจุบันคุณอ้อมยังคงเป็น เวริค์กิ้งวูแมนตัวจริง ทำงานทั้งด้านการแสดง พิธีกร รวมถึงเป็นผู้จัดละคร ทว่าเห็นงานรัดตัวอย่างนี้ แต่เธอยังทุ่มเทเวลาให้ลูกเต็มที่ “อ้อมพยายามใกล้ชิดลูกให้มากที่สุด ทุกเวลาที่ว่างจากการทำงานให้ลูกหมด ถามว่าเหนื่อยไหม ตอบเลยว่าเหนื่อย บางทีทำงานจนดึก เหนื่อยมากเลยแต่ตอนเช้าก็ยังอยากตื่นมาทำกับข้าวให้อยากลุกขึ้นมานั่งคุย นั่งเล่นกับเขา มันเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารักจริง ๆ เป็นรักที่ไม่มีเงื่อนไข รักที่ไม่เคยหยุด อย่างกับสามีตอนแต่งงานใหม่ ๆ ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าให้กินได้แค่ 2 เดือน หลังๆ พี่อาร์ตเห็นเราทำงานหนักเลยบอกไม่ต้องตื่นหรอก เราก็หยุดได้ (หัวเราะ) แต่สำหรับลูก จะ 3 ปีแล้ว (หัวเราะ) เรายังอยากตื่นมาทำให้เขาทุกวัน และคิดว่าคงหยุดไม่ได้ด้วย” คุณอ้อมตอบด้วยนัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความสุข

มา ถึงตอนนี้น้องนาวากับคุณแม่ก็ทำอาหารเสร็จสรรพพร้อมให้เราถ่ายภาพไข่ตะกร้า ทูน่า และ ข้าวไก่อบ ซึ่งเป็นเมนูที่อยู่ในคุกบุ๊ก Nava’s Menu by Aom Phiyada มาอวดโฉมให้คุณผู้อ่านได้ชมพอดี มาเยือนครัวคุณอ้อมครั้งนี้นอกจากได้สูตรเด็ดที่ใช้มัดใจน้องนาวาเสียอยู่ หมัดแล้ว ยังได้เห็นภาพความรักความอบอุ่นน่าประทับใจของแม่ลูกคนดังคู่นี้อีกด้วย
เกร็ดเรื่องราวน่ารัก ประสาแม่ – ลูก
• มีหลายคนทาบทามให้คุณอ้อมทำพ็อกเก็ต-บุ๊กชีวประวัติตัวเอง แต่เธอไม่สนใจ ทว่าเมื่อติดต่อให้ทำเรื่องอาหารของลูก เธอตอบตกลงโดยไม่ลังเล Nava’s Menu by Aom Phiyada จึงเป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิตของเธอ
• เคล็ดลับเลี้ยงลูกสุขภาพจิตดีของคุณอ้อมคือ“อ้อมจะนึกย้อนไปตอนเด็กว่าเรา คิดอะไรอยู่ในตอนนั้น ใครพูดอะไรแล้วเราแฮปปี้ ถ้ามีอะไรก็อธิบายให้เขาฟังแบบมีเหตุผล และสนใจตอบทุกสิ่งที่เขาถาม”
• คุณอ้อมเล่าว่าน้องนาวาเป็นเด็กคิดบวกมาก-ก-ก “ตอนน้องล้มฟันหัก อ้อมก็ร้องว่าโอ๊ย! ฟันหน้าของลูกแม่หักทำอย่างไรดี แต่นาวาปลอบอ้อมว่า ไม่เป็นไรค่ะแม่จ๋า เหลือฟันให้หักอีกหลายซี่เลย”
• คุณอาร์ตเป็นผู้ชายที่ทำอาหารเก่ง (และทำให้คุณอ้อมรับประทานบ่อย ๆ) แต่เนื่องจากชอบปรุงรสเข้มไปนิด คุณอ้อมเลยขออาสาทำอาหารให้ลูกเอง เพราะคิดว่าเด็ก ๆไม่ควรรับประทานอาหารที่ปรุงรสจัดเกินไป
• เพลงโปรดที่น้องนาวาชอบ (และทีมงานก็ได้ยินเธอร้องขณะที่เรากำลังสัมภาษณ์คุณอ้อม) คือเพลง บัวลอย (วงคาราบาว)และเพลง สัญญา (เบิร์ด - ธงไชย แมคอินไตย์)
ข้าวไก่อบ
ส่วนผสม (สำหรับ 1 ที่) เตรียม 10 นาที ปรุง 20 นาที
ปีกไก่บน 2 ชิ้น
มันฝรั่งหั่นเต๋าเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ
หอมหัวใหญ่หั่นเต๋าเล็ก 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำสต๊อกไก่ 4 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
ใบกระวาน 1 ใบ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช สำหรับผัด 3 ช้อนชา
น้ำมันพืชสำหรับทอด
เกลือและพริกไทยอย่างละเล็กน้อย

วิธีทำ

1. เคล้าไก่กับเกลือและพริกไทยไว้สักครู่ นำไปทอดด้วยไฟกลางจนหนังไก่เหลืองกรอบ ตักขึ้นพักไว้
2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันโดยใช้ไฟกลาง ใส่หอมหัวใหญ่ลงผัดจนหอม ตามด้วยมันฝรั่งและใบกระวาน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวน้ำตาล และซอสมะเขือเทศเติมน้ำสต๊อกไก่และใส่ไก่ที่ทอดไว้ลงไปผัดให้เข้ากัน ตักใส่จานเสิร์ฟพร้อมข้าวสวย

ไข่ตะกร้าทูน่า

ส่วนผสม (สำหรับ 1 ที่) เตรียม 10 นาที ปรุง 20 นาที
ขนมปัง 4 แผ่น
ไข่ไก่ 1 ฟอง
นมจืด 4 ช้อนโต๊ะ
ทูน่ากระป๋องยีเป็นชิ้นเล็ก 1 ช้อนชา
หอมหัวใหญ่ซอยบาง 1-2 ช้อนโต๊ะ
มะเขือเทศหั่นเต๋าเล็ก 1-2 ช้อนโต๊ะ
เนยเค็มเล็กน้อย
ถั่วลันเตาต้มสุกและมอซซาเรลลาชีสขูดสำหรับโรยหน้า
แครอตและหน่อไม้ฝรั่งลวกสุกสำหรับรับประทานคู่กัน

วิธีทำ

1. ตัดขอบขนมปังออกแล้วใช้ที่กลิ้งแป้งรีดเป็นแผ่นบาง หั่นตามยาวให้ได้ความกว้าง 1เซนติเมตร แล้วใช้ที่กลิ้งแป้งรีดให้แบนอีกครั้ง นำมาสานเป็นแผ่นโดยไม่ให้มีรู (ขนมปัง 2 แผ่นจะได้ 1 ตะกร้า) วางลงในถ้วยทนความร้อนหรือแผ่นซิลิโคนทรงกลมเพื่อให้เป็นรูปทรงตะกร้านำเข้า อบในเตาโดยใช้ไฟบน-ล่างที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส ประมาณ 3 นาทีหรือจนสุกกรอบ ยกออกจากเตาแล้วพักให้เย็น

2. ทำไส้โดยใช้ส้อมตีไข่กับนมสดให้เข้ากัน ใส่เนื้อทูน่า มะเขือเทศ และหอมหัวใหญ่ ตีให้เข้ากันอีกครั้ง ตักใส่ตะกร้าขนมปังที่เตรียมไว้ โรยถั่วลันเตา มอซซาเรลลาชีส และตักเนยสดใส่ด้านบน นำเข้าอบในเตาอีกครั้งนาน 7 - 10 นาทีหรือจนไข่สุกและเซตตัวดี ยกออกจากเตา แกะขนมปังออกจากถ้วยขณะอุ่น ๆจัดลงจานเสิร์ฟพร้อมแครอตและหน่อไม้ฝรั่งต้มสุก

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ทับทิม คุณค่ามหาศาล

"ทับทิม" คุณค่ามหาศาล
คอลัมน์ เครื่องแนม

เคยมีคนตั้งข้อสังเกตว่า เวลาอากาศร้อนๆ นักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวเมืองไทยจะเลือกดื่มน้ำทับทิม ขณะที่คนไทยจะเลือกชาเขียวพร้อมดื่ม สร้างความสดชื่น แล้วยังได้ลุ้นโชคอีกต่อหนึ่ง (ฮา)
จริงๆ แล้ว ทับทิมเป็นผลไม้ที่ให้ประโยชน์มหาศาล ถึงขนาดรายงานของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่สหรัฐอเมริกา จัดให้น้ำทับทิมเป็นสุดยอดของน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ
ดร.ณัฐพล ตั้งสุภูมิ สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล อธิบายว่า น้ำทับทิมมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระมากเกือบ 3 เท่า ของชาเขียวและไวน์แดงในปริมาณที่เท่ากัน
นอกจากนี้ น้ำทับทิมยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี, วิตามินบี 5 และโพแทสเซียม
ซ้ำมีงานวิจัยบอกว่า ดื่มน้ำทับทิมเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและการติดเชื้อจากไวรัส ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ลูคีเมีย เบาหวาน ไปจนถึงลดการสร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง บราบราบรา เอ๊ย บลาบลาบลา
อย่างไรก็ตาม น้ำทับทิมในท้องตลาดมีปริมาณน้ำตาล 11 -12% ซึ่งนับว่าสูงทีเดียว เปลี่ยนไปดื่มน้ำทับทิมสดน่าจะเวิร์กสุด

คุณบริโภคผักและผลไม้ เพียงพอแล้วหรือยัง

ผลการวิจัยจากโกลบอลไฟโตนิวเทรียนท์ พบ 3 ใน 4 ของประชากรกลุ่ม ผู้ใหญ่จากทั่วโลก รับประทานผักและ ผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานเกิน 1 เท่าตัว ค้านกระแสสุขภาพดีมาแรง ผู้เชี่ยวชาญแนะเพิ่มปริมาณและสีสัน ผักผลไม้ต่อวันเพื่อสุขภาพแข็งแรง

ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ในปัจจุบันกระแสรักสุขภาพกำลังได้รับความนิยมไป ทั่วโลกและแผ่ขยายมาถึงคนไทย ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์การออกกำลังกาย หรือการรับประทานอาหารแบบคลีนฟู้ด ที่เน้นผักผลไม้และอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งดัดแปลงน้อยที่สุด โดยเน้นความเป็นธรรมชาติของวัตถุดิบนั้น ไม่มีสารปนเปื้อน และครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด เค็มจัด มันจัด ควบคู่กับการออกกำลังกาย ถือเป็นการนำมาซึ่งสุขภาพที่ดี ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงคือการรับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการในแบบที่ตรงกับ คำว่าคลีนฟู้ด แต่เชื่อหรือไม่ว่าประชากร กลุ่มผู้ใหญ่จากทั่วโลกรับประทาน ผักและผลไม้แค่ครึ่งหนึ่งของคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดไว้ ที่ปริมาณ 400 กรัมต่อวัน
จากผลการวิจัยของ สถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ (Nutrilite Health Institute Center for Optimal Health) ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารบริติช เจอร์นัล ออฟ นิวทริชั่น (British Journal of Nutrition) ฉบับเดือนกันยายน 2557 และเพิ่งได้รับ การตีพิมพ์ในรายงานโกลบอลไฟโตนิวเทรียนท์ (Global Phytonutrient Report) ฉบับใหม่ล่าสุด ชี้ให้เห็นว่า ประชากรกลุ่มผู้ใหญ่จำนวนตั้งแต่ 60-87% ในเขตพื้นที่ที่มีการสำรวจใน 13 ภูมิภาค ทั่วโลกนั้น รับประทานผักและผลไม้น้อยเกินไป จึงทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ที่จะส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพดี และต้อง รับประทานผักและผลไม้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่ง เท่าตัวของปริมาณที่รับประทานอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ ได้ปริมาณตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) คือ 400 กรัม ซึ่งเป็นสัดส่วนที่จะให้ผลดีต่อสุขภาพ
รองศาสตราจารย์ ‘ดร.สิริชัย อดิศักดิ์วัฒนา’ คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า “ประเทศไทยมีการสำรวจสถิติการรับประทานผักและผลไม้ ในช่วง พ.ศ. 2550-2554 โดยปริมาณการรับประทานผักและผลไม้ที่แนะนำในแต่ละวันคือ 400 กรัมต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณที่สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก (WHO) แต่พบว่า ประชากรไทยร้อยละ 70 ของกลุ่มประชากรที่สำรวจ มีการรับประทานผักและผลไม้น้อยกว่าปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีผักที่รับประทานได้ถึง 330 ชนิด รวมทั้งผัก พื้นบ้านด้วย สาเหตุที่คนไทยรับประทานผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์เกิดจากสภาพสังคมไทย ในปัจจุบัน ซึ่งปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เวลาส่วนใหญ่มักอยู่กับการทำงานและมีเวลาค่อนข้างจำกัด รวมถึงการเลือกชนิดของอาหาร และอาหารจานด่วนส่วนใหญ่มักมีส่วนประกอบของผักและผลไม้ค่อนข้างน้อย ประชาชนทั่วไปจึงสะดวก ในการเลือกซื้ออาหารประเภทดังกล่าวมากกว่าคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับจาก การรับประทานอาหารที่มีผักและผลไม้ที่เป็นองค์ประกอบหลัก
สำหรับกระแสการรับประทานอาหารคลีนเพื่อสุขภาพนั้น เป็นประโยชน์และส่งผลดีต่อร่างกาย แต่ต้องคำนึงถึงปริมาณผักและผลไม้ ที่นำมาประกอบเป็นอาหารคลีนว่าอยู่ในปริมาณ ที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวันหรือไม่ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การรับประทานผักและผลไม้มากกว่า 569 กรัมต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยง การเสียชีวิตจากโรคทางเดินหายใจ ระบบ ไหลเวียนโลหิต และระบบทางเดินอาหาร ขณะที่ผู้รับประทานผักและผลไม้ในปริมาณต่ำกว่า 249 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงในโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้น การรับประทานผักและผลไม้ให้เพียงพอ ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ถึง 50% ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 30% ลด ความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองได้ 6% โรคมะเร็งทางเดินอาหาร กระเพาะอาหาร หลอดอาหาร 1-6% นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่า การรับประทานผักและผลไม้ในสัดส่วนดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ไม่ติดต่อเรื้อรัง ทั้งเบาหวาน และความดัน เป็นต้น”
นอกจากสถิติที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับการ รับประทานผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานแล้ว ‘ดร.คีธ แรนดอล์ฟ’ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของสถาบันสุขภาพนิวทริไลท์และหนึ่ง ในทีมวิจัยเผยว่า “จำนวนประชากรถึง 3 ใน 4 ของกลุ่มประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลกยังได้รับ ไฟโตนิวเทรียนท์ที่ขาดความหลากหลายและ ไม่เพียงพอต่อการมีสุขภาพดี ไฟโตนิวเทรียนท์หรือสารอาหารตามธรรมชาติที่พบในพืชต่างๆ ทำหน้าที่คอยปกป้องพืชจากศัตรูตามธรรมชาติ รวมทั้งป้องกันการเกิดความเครียดทางกาย และการเกิดสารอนุมูลอิสระ ไฟโตนิวเทรียนท์ทำให้ พืชมีสีสันต่างๆ ดังนั้น การรับประทานสีต่างๆ ในอาหารจะทำให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกัน ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการมีสุขภาพอนามัยที่ดี
นอกจากนี้ ไฟโตนิวเทรียนท์ยังมีคุณประโยชน์ ต่อสุขภาพร่างกายอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการต้านอนุมูลอิสระ การเติบโตของเซลล์อย่างสมดุล ช่วยฟื้นฟูความเสียหายของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยบำรุงสายตา กระดูก หัวใจ ไปจนถึงระบบสมองและระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่มีข้อกำหนดสากลของปริมาณไฟโตนิวเทรียนท์ที่มนุษย์ควร ได้รับต่อวัน แต่ การวิจัยจำนวนมากมีผลลัพธ์ที่สอดคล้องกันว่า การรับประทานอาหารที่มีไฟโตนิวเทรียนท์ หรือสารออร์แกนิกที่พบได้ในผักและผลไม้จำนวนมากนั้น ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพนานัปการ แต่ยังเป็นเรื่องน่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นความสำคัญและตระหนักถึง ความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทาน ผักและผลไม้ รวมถึงปริมาณไฟโตนิวเทรียนท์ ที่ร่างกายควรได้รับ”
ดังนั้นปริมาณและความหลากหลายของผักและผลไม้ที่เรารับประทานนั้นมีความ สำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าเราจะอาศัยอยู่ในภูมิภาคใดบนโลกใบนี้ เราควร รับประทานผักและผลไม้ในทุกๆ โอกาสที่สามารถทำได้ ตามปริมาณที่แนะนำคือ 400-500 กรัม ต่อวัน หากอยู่ในพื้นที่ที่ผักหรือผลไม้มีน้อยหรือไม่หลากหลาย การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มปริมาณ ไฟโตนิวเทรียนท์ตามที่ร่างกายต้องการได้ ซึ่งประโยชน์ของสารไฟโตนิวเทรียนท์แยกตามสีของผักผลไม้ได้ดังนี้
เมื่อได้รับทราบข้อมูลและประโยชน์สารพัดของการรับประทานผักและผลไม้ และการได้รับสารไฟโตนิวเทรียนท์กันแล้ว ก็ถึงเวลาตระหนักเรื่องการบริโภคอาหารคลีน เพิ่มปริมาณผักและผลไม้ให้มากขึ้นในแต่ละวันอย่างครบถ้วนและเพียงพอ โดยไม่เลือกรับประทานแต่ผักชนิดเดิมๆ หรือชนิดเดียวกันซ้ำๆ และให้ความสำคัญกับ การออกกำลังกาย ควบคุมอารมณ์ให้แจ่มใส เบิกบาน หาทางสลัดความเครียดออกจากตัวเอง หลีกเลี่ยง เหล้าและบุหรี่ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และทำให้มีอายุยืนยาวอย่างน่าอัศจรรย์ หมดเวลาหาข้อแก้ตัวให้กับตนเอง และหันมาเพิ่มสีสัน ให้กับชีวิต รับประทานผักและผลไม้หลากสีกัน ให้มากๆ ทุกวัน เพราะสุขภาพดีเริ่มได้ง่ายๆ ที่ตัวคุณเอง

คุยกับหมอพิณ : 2 เต้า...ที่เราต้องดูแล

คอลัมน์ คุยกับหมอพิณ โดย พ.ญ.พิณนภางค์ ศรีพหล

2 เต้า...ที่เราต้องดูแล

คอลัมน์ คุยกับหมอพิณ

พ.ญ.พิณนภางค์ ศรีพหล

email:doctorpin111@gmail.com 
สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันเรื่องทำนมกันไปแล้ว
สัปดาห์นี้ เราจะมาคุยกันเรื่อง ดู (แล) นม กันนะคะ ว่าเราจะดูแลกันยังไง
ก่อนอื่น "ทำไมต้องดูแล"
นั่นก็เพราะโรคมะเร็งเต้านม เป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของคุณผู้หญิงเลยน่ะสิคะ
รู้หรือไม่คะ ว่าความเสี่ยงหลัก ๆ ของโรคมะเร็งเต้านมนั้น ได้แก่...ได้แก่...การเป็น "ผู้หญิง" ค่ะ
คือ แค่เป็นผู้หญิงก็เสี่ยงแล้วนั่นเอง โดยในช่วงชีวิตหนึ่งของคุณผู้หญิง สามารถเจอโรคมะเร็งเต้านมได้ 1 ใน 8 ราย ทีนี้ลองหันไปมองรอบ ๆ ตัว นับผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา 7 คน แล้วมโนต่อไปว่า อาจจะมีใครซักคนในที่นี้ ที่สามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้ในอนาคต (ซึ่ง 1 ใน 8 ที่ว่า ก็มีโอกาสที่จะเป็นตัวเราเองใช่ไหมคะ)
ในเมื่อที่มันเสี่ยงกันซะขนาดนี้ในเมื่อที่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้การตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ ในขณะที่ก้อนยังเล็ก ๆ
มะเร็งในระยะต้น ๆ จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ พยากรณ์โรคดีกว่านั่นเองค่ะ
แต่ถ้าไม่ดูแล ไม่ตรวจ แล้วเกิดเป็นผู้โชคร้ายขึ้นมา ปล่อยก้อนมะเร็งทิ้งไว้ จนก้อนใหญ่ ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ การรักษาอาจยากขึ้นและอาจจะสายไปนะคะ พยากรณ์โรคก็จะแย่กว่าด้วยค่ะ
"ดูแลอย่างไร"
โดยในผู้หญิงทุกคน ควรจะดู คลำ และสังเกต อาการที่เปลี่ยนแปลงไปของเต้านมอย่างสม่ำเสมอ
ควรตรวจเองทุกเดือนแนะนำช่วงหลังหมดประจำเดือนใหม่ๆค่ะ เพราะจะตรวจได้ง่าย
จะเป็นตอนอาบน้ำหรือแต่งตัวก็ ได้ค่ะ อาจจะสละเวลา ก่อนที่จะพยายามโกยเนื้อนมขึ้นจากตาตุ่มขึ้นมา หันมาดูและคลำเต้านมอย่างละเอียดสักเล็กน้อย ดูบ่อย ๆ คลำบ่อย ๆ ก็คล่องค่ะ
เริ่มจาก "การดู" ก็คือ ดูว่าผิวของเต้านมมีรอยบุ๋ม หรือรอยแดง หรือผิวส้มหรือไม่
หัวนมบุ๋มลง หรือมีน้ำหนองหรือเลือดไหลออกมาจากเต้านมหรือเปล่า
"การคลำ" ควรจะคลำทุกเดือน แนะนำให้คลำหลังประจำเดือนเพิ่งหมดค่ะ เพราะจะสามารถคลำได้ง่าย
หากคลำได้ก้อน ไม่ควรนิ่งนอนใจ ไม่ว่าจะเจ็บหรือไม่เจ็บควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมค่ะ
เพราะบางคนคิดว่าอ๊ะ!ก้อน แต่ฉันไม่เจ็บนี่ ไม่ต้องไปหาหมอหรอก
หารู้ไม่ว่า ก้อนมะเร็งส่วนใหญ่ มันจะไม่มีอาการเจ็บหรอกค่ะ อาการเจ็บส่วนใหญ่จะเกิดจากซีสต์ในเต้านมมากกว่า ซึ่งซีสต์ส่วนใหญ่ไม่ใช่มะเร็ง คือไม่ร้ายแรง (แต่ก็ควรมาให้แพทย์ตรวจอยู่ดีนะคะ เพราะมะเร็งบางชนิดมันก็ปวดได้เช่นกัน) ก้อนมะเร็งส่วนใหญ่มักแข็งและมีผิวขรุขระค่ะ
นอกจากการดู คลำ สังเกตอาการตนเองแล้ว
- ในสตรีอายุ 20-39 ปี ควรจะให้แพทย์ตรวจเต้านมทุก 3 ปีค่ะ
- ส่วนในคุณผู้หญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรให้แพทย์ตรวจเต้านมทุกปี และทำแมมโมแกรมทุกปีด้วยค่ะ
สละเวลาตรวจเองเดือนละครั้ง ให้หมอตรวจปีละครั้ง เครื่องตรวจปีละครั้งกันนะคะ
ถ้าเจอโรคก่อน จะได้รักษาก่อน หายก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รู้ทัน′โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง′ ภัยร้ายที่คุณสร้างเอง

รู้ทัน′โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง′ ภัยร้ายที่คุณสร้างเอง
โดย สรวิศ รุ่งเลิศมณีพงศ์

เมื่อพูดถึง "โรคร้าย" ภาพจำที่ฝังติดหัวผู้คนมักจะนึกถึงการ "ติดเชื้อ" จากภายนอก ไม่ว่าจะจาก มนุษย์ สัตว์ หรือแมลง
"ซาร์-ไข้หวัดนก-เอดส์-ไข้เลือดออก-อีโบลา" เหล่านี้คือสิ่งที่แวบเข้ามาในหัวเป็นรายชื่อแรกๆ
แต่ ความเป็นจริงแล้ว "โรคไม่ติดต่อ" หรือ Non-Communicable Diseases (NCDs) กลับเป็นปัญหาที่ลุกลามและสร้างความกังวลให้กับประชาชนทั่วโลก รวมไปถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทยด้วย
ไม่ใช่เพียงปัญหาธรรมดา แต่เป็นปัญหา "ใหญ่" ที่ไม่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่ง

เพราะ ราว 71 เปอร์เซ็นต์ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดในประเทศไทย เกิดจาก "ฆาตกร" ที่มีสังกัดเดียวกัน คือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน จนทำให้ถูกขนานนามในอีกชื่อหนึ่งว่า "โรคแห่งศตวรรษที่ 21"
ดังนั้น เครือข่ายป้องกันโรคไม่ติดต่ออาเซียนจึงได้มีเป้าหมายหลักที่จะช่วยหาทาง ป้องกัน และหาสาเหตุของการเกิดโรคที่ไม่ติดต่อ เพื่อที่จะลดจำนวนผู้ป่วย และไม่ให้เกิดผู้ป่วยใหม่
เช่นเดียวกับในประเทศไทย ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นหนึ่งในตัวตั้งตัวตีที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ และจัดงานประชุมวิชาการในหัวข้อ "กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคที่เราสร้างเอง" เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากกลุ่มแพทย์ สามารถที่จะนำไปเผยแพร่และรักษาผู้ป่วยได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ ได้มีการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อ โดยมีบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง
เริ่มที่การปาฐกถาเกียรติยศศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร เรื่อง "คนไทยพ้นภัยจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง" โดยมี ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี นิธิยานันท์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นผู้กล่าวปาฐกถา
โดย พญ.วรรณีได้อธิบายว่า Non-Communicable Diseases (NCDs) หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อ ปัจจุบันเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนไทย ได้แก่ โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคระบบหายใจผิดปกติเรื้อรัง เมื่อเป็นโรคเหล่านี้จะทำให้สมรรถภาพในการทำงาน และคุณภาพชีวิตด้อยลง มีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงในการรักษา
ทั้งนี้ กลุ่มโรคไม่ติดต่อ เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจาก 3 องค์ประกอบ คือ ความเสื่อม พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม
"สรุปว่า NCDs เป็นโรคจากพฤติกรรมการดำรงชีวิตไม่ถูกต้อง อาจเป็นปัจจัยเพียงอย่างเดียวที่ก่อโรค หรือร่วมกับอายุที่มากขึ้น และ/หรือพันธุกรรรม การปรับเปลี่ยนปัจจัยแวดล้อมจึงสามารถป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคไม่ติดต่อ เรื้อรังได้"
"ต้องปรับให้มีพฤติกรรมการบริโภคที่ดีและถูกต้อง ไม่เกิดผลเสียต่อสุขภาพ มีกิจกรรมออกแรงอย่างเหมาะสมทุกวัน ไม่ใช้ยา ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา ไม่เครียด และมีจิตแจ่มใส วิถีดำรงชีวิตจะต้องมีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุ จึงจะทำให้การป้องกันโรคไม่ติดต่อมีประสิทธิภาพ และเกิดผลสูงสุด" พญ.วรรณีทิ้งท้าย
อีกหนึ่งกิจกรรม คือ เวทีเสวนา "การดูแลและป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)" นำโดย นพ.สุริยะ วงศ์คงคาเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, นพ.บุญเรียง ชูชัยแสงรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครปฐม และ รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ต่างได้นำเสนอในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป
2 สาเหตุใหญ่ แก้ไม่ได้ก็ไม่มีวันจบ
"ขอบคุณครับที่เชิญจากหอคอยงาช้างลงมาเสวนาในวันนี้"
นพ.สุริยะ ได้เริ่มต้นด้วยการหยอกแซวพิธีกร เรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งห้องประชุม ก่อนที่จะเริ่มต้นว่า เวลาเราพูดเรื่องโรคไม่ติดต่อจะมีอยู่สองมิติด้วยกัน คือ เรื่องโรค ยา การรักษา และเรื่องพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง ซึ่งแพทย์จะต้องจัดการสร้างความสมดุลกับทั้งสองมิตินี้มาโดยตลอด ทั้งสองมิตินี้นับว่าเป็นหัวใจสำคัญ ในการป้องกันกลุ่มโรคไม่ติดต่อ

(จากซ้าย) รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล, นพ.บุญเรียง ชูชัยแสงรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครปฐม, นพ.สุริยะ วงศ์คงคาเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และรศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล
นพ.สุริยะ ยังบอกอีกว่าสิ่งสำคัญคือแพทย์ต้องทำให้ผู้ป่วยรู้จักที่จะดูแลตนเอง รู้จักที่จะควบคุมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง ควบคู่ไปกับการรักษา
หนึ่งทางเลือกการรักษา ลดยา ดูแลตนเอง
ต่อจากนั้น นพ.บุญเรียงได้เดินขึ้นมาบนเวที พร้อมกับฝ่าเท้าที่เปลือยเปล่า
"ใครว่าวันนี้เรามาถูกทางบ้างครับ"
นพ.บุญเรียงเริ่มตั้งคำถามกับกระบวนการรักษา และวิธีการทำงานที่ "ตึง" เกินไป
"วันนี้ เราต้องยอมรับว่าเรามาผิดทางหรือไม่ ขนาดแพทย์บางคนที่ดูแลเรื่องโรคพวกนี้ ก็ยังเป็นโรคจำพวกนี้เสียเอง และวันนี้เราสูญเสียบุคลากรหลายคนที่มีความสามารถไปเพราะโรคไม่ติดต่อเช่น เดียวกัน"
จากนั้น นพ.บุญเรียงได้เชิญชวนที่ประชุมและอธิบายถึงหนึ่งในแพทย์ทางเลือกอย่าง "หมอเขียว" หรือ นายใจเพชร กล้าจน ที่จะเน้นเรื่องการพึ่งตนเอง ด้วยการปรับสมดุลของร่างกายทำให้อาการดีขึ้น ลดการใช้ยาแผนปัจจุบัน นอกจากจะเป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อ โดยเฉพาะในเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาที่น้อยกว่า ที่สำคัญคือมุ่งเน้นให้ผู้คนรู้จักที่จะดูแลตนเองอีกด้วย
"หากสุขภาพพึ่งตนเองไม่ได้ หมอและคนไข้จะป่วยตายกันหมด" นพ.บุญเรียงย้ำ
แพทย์ต้องรู้เท่าทัน-ระวังอย่าเป็นผู้ป่วยเอง
เช่น เดียวกับ รศ.ดร.สมพร ที่ได้นำเสนออีกทางเลือกหนึ่งให้แก่ผู้ป่วย คือ "สมาธิบำบัด SKT" ที่ประกอบไปด้วย 7 เทคนิค หรือเรียกว่า SKT 1-7 ที่ช่วยเยียวยาผู้ป่วยโรคเรื้อรังให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ โดยการมุ่งเน้นในด้านสมาธิ ผ่อนคลายความตึงเครียด พร้อมยกตัวอย่างจากผู้ป่วยที่มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น หลังจากเข้ารับการรักษา
ด้าน นพ.สรนิตได้เน้นไปอีกประเด็นหนึ่งคือ การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมของแพทย์ที่ทำการรักษา ที่ควรจะต้องหมั่นหาความรู้เพื่อให้เท่าทันกับกลุ่มโรคไม่ติดต่อ และเพิ่มประสิทธิผลในการรักษาเพิ่มมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้ของแพทย์ต่างประเทศ รวมไปถึงข้อมูลเพิ่มเติมต่างๆ
ทั้งนี้เพื่อจะได้ลดอัตราผู้ป่วยที่ต้องเสียชีวิตจากโรคนี้ไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นอก จากนี้ สิ่งที่ นพ.สรนิตฝากเป็นข้อคิดสำหรับแพทย์ด้วยกันเอง คือ การรักษาสุขภาพของผู้รักษาหรือตัวแพทย์เองก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน
"ก่อนที่จะรักษาคนอื่นบางครั้งแพทย์จำเป็นที่จะต้องดูแลตัวเองให้ได้ก่อน เพราะหากแพทย์ไม่สามารถที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว สุดท้ายแล้วตัวแพทย์ก็จะกลายเป็นผู้ป่วยเสียเอง" เป็นประโยคที่เรียกเสียงฮือฮาให้กับแพทย์ที่เข้าร่วมงานได้เป็นอย่างดี
เสร็จสิ้นงานเสวนาแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมอื่นๆ ทั้งในด้านวิชาการ โดยมีการเปิดเวทีนำเสนอบทความทางวิชาการ และวิพากษ์โดยแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงการแสดงนิทรรศการและการเสนอผลงานทางวิชาการซึ่งมีคณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย บุคลากรของมหาวิทยาลัยมหิดล และจากสถาบันการศึกษาของรัฐและเอกชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
อีกทั้ง ยังมีการให้ความรู้เพื่อรับมือกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ต่างๆ เช่น "อ้วนเกินไปลดอย่างดี" "เบาหวาน เค็ม มัน รู้ทัน NCD" และกิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุ เช่น การออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ และหัวเราะบำบัด
ทั้งหมดเพื่อทำให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ทั้งแพทย์และประชาชนได้รับรู้ เข้าใจ เกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่มาจาก "พฤติกรรม" และเรียนรู้วิธีป้องกัน ตระหนักถึงความสำคัญในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ทั้งในเรื่องการรับประทานอาหาร รู้จักผ่อนคลายความเครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการประชุมทางวิชาการที่ครบถ้วนทั้งบู๊-บุ๋น ติดอาวุธให้เรา "รู้ทัน" โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
เพื่อที่ในอนาคต เราจะไม่เสียทีด้วยน้ำมือของตัวเราเอง