เวียนศีรษะ บ้านหมุน โคลงเคลง : สัญญาณบ่งชี้ความผิดปกติของอวัยวะการทรงตัว
‘เวียนศีรษะ’ (dizziness) เป็นอาการที่ทุกคนไม่อยากประสบกับตนเอง
เป็นคำที่มีความหมายกว้าง อาจหมายถึงมึนเวียนศีรษะ
ซึ่งเกิดจากความผิดปกติได้หลากหลายสาเหตุ กับคำว่า เวียนศีรษะแท้ (vertigo)
ที่มักจะมีอาการหมุนร่วมด้วย
ซึ่งประการหลังนี้เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของอวัยวะการทรงตัว
ใน
ที่นี้จะขอกล่าวเพียง เวียนศีรษะแบบหมุน อาจมีความรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมหมุน
หรือตัวเองหมุน ร่วมกับอาการโคลงเคลง บางรายเป็นเพียงระยะสั้น ๆ
อยู่เพียงไม่กี่วินาทีแล้วหายไป หรือ อาจจะนานเป็นหลายนาทีจนถึงหลายชั่วโมง
บางรายจะมีอาการหูอื้อ มีการได้ยินบกพร่อง หรือมีเสียงผิดปกติในหู
สาเหตุของความผิดปกตินี้
เกิดได้ตั้งแต่ความผิดปกติของระบบการทรงตัวส่วนปลาย
(หูชั้นในและเส้นประสาทการทรงตัว) หรือ ระบบการทรงตัวในระบบประสาทส่วนกลาง
สำหรับอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนที่เกิดจากอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นในหรือประสาทหู มีโรคพบบ่อย ๆ ได้ดังนี้
หิน
ปูนในหูชั้นในเคลื่อน (Benign paroxysmal position vertigo - BPPV)
เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการเวียนศีรษะที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากหินทรงตัว
(Calcium Carbonate – otolithic crystal)
ในหูชั้นในเคลื่อนหลุดออกจากที่อยู่เดิม
ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะเป็นระยะสั้น ๆ ขณะเปลี่ยนท่า เช่น
ขณะล้มตัวลงนอน หรือลุกขึ้นนั่ง
น้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s
disease) เกิดจากความแปรปรวนของน้ำในหูชั้นใน (endolymphatic
hydrop)ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะนานหลายนาทีหรืออาจต่อเนื่องเป็นหลาย
ชั่วโมง อาการจะหายไปแล้วกลับมาเป็นอีกได้ โดยอาจจะห่างเป็นเดือนหรือเป็นปี
เมื่อโรคเป็นรุนแรงขึ้นอาการจะเป็นถี่ขึ้น
และหูข้างที่มีปัญหาจะได้ยินเสียงน้อยลงเรื่อย ๆ ร่วมกับเสียงผิดปกติในหู
เส้น
ประสาทการทรงตัวอักเสบ (Vestibular neuritis)
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตรงเส้นประสาทการทรงตัว
ทำให้สัญญาณประสาทการทรงตัวที่ส่งไปสู่สมองไม่สมดุล
ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะนานหลายวัน โดยไม่มีอาการทางระบบประสาทสมอง
หลังจากหายเวียนศีรษะแบบหมุนแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการโคลงเคลง
และทรงตัวไม่ดีไปอีกระยะหนึ่ง
เนื้องอกประสาทหู (Acoustic neuroma)
ผู้ป่วยจะมีอาการเสียงผิดปกติในหู การได้ยินลดลง
ร่วมกับเวียนศีรษะแบบโคลงเคลง ซึ่งเกิดจากการที่มีเนื้องอกจากประสาทหู
หากปล่อยไว้นาน ก้อนเนื้องอกจะโตขึ้นเรื่อย ๆ
จนสามารถไปกดเส้นประสาทสมองและเนื้อสมองได้
นอก
จากนี้ยังมีโรคอื่น ๆ ได้แก่ โรคประสาทหูถูกทำลายจากยา (ototoxicity),
โรคประสาทหูดับฉับพลัน (Sudden sensorineural hearing loss) หรือ
การเสื่อมถอยของอวัยวะการทรงตัว เป็นต้น
สำหรับขั้นตอนการรักษา
ในระยะแรกแพทย์จะทำการรักษาตามอาการ
โดยผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะมากร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน
ควรได้รับการรักษาตามอาการโดยแพทย์ใกล้ตัว หรือแพทย์ประจำตัว
เพื่อให้อาการทรมานจากการเวียนศีรษะลดลง และไม่ขาดสารน้ำ ขั้นตอนต่อไป
ในรายที่สงสัยว่าสาเหตุน่าจะมาจากความผิดปกติของอวัยวะการทรงตัว
แพทย์จะทำการตรวจทดสอบต่าง ๆ เพื่อให้ได้คำวินิจฉัยและวางแผนการรักษา
ใน
การรักษาจำเพาะต่อโรคชนิดต่าง ๆ
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาการรักษาขึ้นมากตามลำดับ ตั้งแต่การทำ Canalith
Repositioning Maneuver, การผ่าตัด Posterior Semicircular canal occlusion
ในรายที่เป็น BPPV, การรักษาโดยการฉีดยาเข้าไปสู่หูชั้นใน (Intratympanic
injection) ในรายโรคน้ำในหูชั้นใน หรือโรคหูดับ เป็นต้น
ส่วนขั้นตอน
สุดท้ายคือการฟื้นฟู ผู้ป่วยบางรายถึงแม้จะหายเวียนศีรษะแบบฉับพลันแล้ว
พยาธิสภาพของโรคยังคงทำให้มีการเสียสมดุลของการทรงตัว
มีอาการโคลงเคลงเรื้อรัง จึงทำให้คุณภาพชีวิตด้อยลงไป
ในรายเหล่านี้สามารถช่วยได้โดยการฝึกฝนหรือทำกายภาพบำบัด (Rehabilitation)
เพื่อให้การทำงานและสมดุลของการทรงตัวดีขึ้น
ผู้ที่สงสัยว่าตนเองอาจมีอาการเข้าข่ายโรคในกลุ่มที่เกี่ยวกับระบบประสาท
หู สามารถเข้ารับการตรวจโดยละเอียด
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยในการตรวจวินิจฉัยเฉพาะทาง
ตั้งแต่เครื่องมือที่ใช้ตรวจความผิดปกติทั่วไป เช่น เครื่องตรวจการได้ยิน
(audiogram) และ เครื่องตรวจภาวะแรงดันของหูชั้นกลาง (tympanogram)
จนถึงเครื่องมือที่สามารถตรวจการทำงานของระบบประสาทหูได้ลึกไปถึงระดับก้าน
สมอง (Auditory brain stem response, ABR)
เครื่องทดสอบการทำงานของเซลล์ขนในหูชั้นใน (Otoacoustic emission, OAE)
และเครื่องตรวจการได้ยินในระดับก้านสมอง (Auditory steady state response,
ASSR)
ส่วนการตรวจระบบประสาทการทรงตัว ทำได้โดย
เครื่องมือเฉพาะสำหรับตรวจการทำงานของอวัยวะทรงตัวในหูชั้นใน
(Videonystagmography, VN6) เครื่องตรวจแรงดันน้ำในหูชั้นใน
(Electrocochleography, ECOG)
และเทคโนโลยีใหม่ที่ทางโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์นำมาใช้ในคลินิกเกี่ยวกับผู้มี
ปัญหาด้านการทรงตัว ที่เรียกว่า Posturography
ซึ่งครอบคลุมการทำงานตั้งแต่การตรวจหา การวินิจฉัย
และการฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการทรงตัว ด้วยระบบการทดสอบ 6
ระดับ ทำให้สามารถวินิจฉัยแยกได้ว่าความผิดปกติของอาการมาจากระบบการทรงตัว
สายตา สมอง หรือเกิดจากสาเหตุใด เพื่อการรักษาที่ตรงจุด
พร้อมขั้นตอนการฟื้นฟูมากกว่า 20 โปรแกรมตามลำดับอาการ
อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน
แม้ได้รับการรักษาแล้วผู้ป่วยบางรายก็ยังต้องได้รับการฟื้นฟูในระยะยาว
หรือในบางโรคอาจส่งผลเรื้อรังและแสดงอาการมากขึ้นหากไม่ได้รับการรักษา
ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำให้ผู้ที่เคยมีประวัติการเวียนศีรษะบ้านหมุน โคลงเคลง
หรือสงสัยว่าตนเองอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัว
ควรเข้ารับการตรวจร่างกายและตรวจทดสอบจากแพทย์
เพื่อการรักษาและการฟื้นฟูเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น