วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ทำงานหนักแค่หน้าก็ไม่มีโทรม เทคนิคอยู่ตรงนี้!


ทำงานหนักแค่หน้าก็ไม่มีโทรม เทคนิคอยู่ตรงนี้!

ทำงานหนักแค่หน้าก็ไม่มีโทรม เทคนิคอยู่ตรงนี้!

        หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่มีไลฟ์สไตล์นอนดึกติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ตื่นมาแล้วรู้สึกผิวแห้ง ไม่ชุ่มชื่น ใบหน้าเหนื่อยล้าเพราะพักผ่อนน้อยบ้างไหมค่ะ จะฟื้นฟูใบหน้าอย่างไรให้ผิวกลับมาฟู หน้าเด้ง สดใส วันนี้มีเคล็ดลับหน้าสวยสำหรับสาวเวลาน้อยมาฝากกันค่
 มอยส์เจอไรเซอร์ เสกความชุ่มชื่นให้ผิวสวย
        พักผ่อนน้อยน้ำในผิวยิ่งแห้ง ทำให้ใบหน้าไม่สดใสจนสังเกตเห็นได้ชัด หากต้องการกลับมาบำรุงด่วนๆ สาวๆ ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวโดยตรงหรืออาจใช้เซรั่ม เพิมความชุ่มชื้นของผิว จะช่วยฟื้นบำรุงผิวให้นุ่มนวล ผิวละมุนมากกว่ามอยส์เจอไรเซอร์ชนิดอื่นๆ ที่สำคัญยังมีมอยส์เจอไรเซอร์จะสามารถซึมซับเข้าสู่ผิวได้อย่างมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้นนั่นเอง
รองพื้นที่ดีต้องเกาะติดผิว
        พอพักผ่อนน้อยยิ่งทำให้รองพื้นเกาะติดผิวน้อย ทำให้เมื่อเวลาลงรองพื้นทำให้ใบหน้าเป็นคราบรองพื้นไม่เกาะติดผิว ก่อนลงพื้นสาวๆ อาจจะต้องเตรียมสภาพผิวให้พร้อมก่อน โดยการฉีดพรมสเปรย์น้ำแร่ จากนั้นเลือกรองพื้นที่ใกล้เคียงเฉดสีผิวที่สุด วันไหนนอนน้อยสาวๆ ท่องให้จำให้ขึ้นใจเลยว่าไม่ควรทารองพื้นหนา เพราะจะทำให้ผิวหน้าดูหนาหนักจนเกินไปเผยให้เห็นริ้วรอยบนผิวอย่างเห็นได้ ชัด ยิ่งทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด
คอนซีลเลอร์ผิวผ่อง ปกปิดความเมื่อยล้า
         พระเอกของการปกปิดริ้วรอยบนใบหน้าขั้นเทพที่สาวทุกคนต้องมีและพกติดตัว นั่นก็คือคอนซีลเลอร์ที่ช่วยปกปิดรอยคล้ำของผิวใต้ดวงตาได้ชนะเลิศ เทคนิคการเลือกคอนซีลเลอร์จำเป็นมากๆ สาวๆ ควรเลือกให้ใกล้เตียงกับเฉดสีผิวของตัวเองเน้นความเป็นธรรมชาติ และการเกลี่ยคอนซีลเลอร์แตะและเกลี่ยเบาๆ ให้เนียนสนิทกับผิว หากอยากให้ใบหน้าเนียนกริบควรตบเบาๆ ด้วยฟองน้ำซุบน้ำหมาดๆ นะคะ รับรองใบหน้าสดใสอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
บลัชออนเสกลุคคาวาอี้
         วันไหนที่ใบหน้าโทรมการเลือกบลัชออนสีสันสดใสค่อนข้างสำคัญและจำเป็นมากๆ นะคะ เพราะจะช่วยดึงความสดใสออกมาเผยให้เห็นจุดเด่นบนใบหน้า โดยเฉพาะสีแดง ชมพูสดใสระเรื่อ ดูมีเลือดฝาด ยิ่งตอนนี้มีบลัชออนแบบครีมที่ใช้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้พวงแก้มชมพูเปล่ง ปลั่ง สดใสตลอดทั้งวันแล้วนะคะ
ลิปสติกเรียกสติ
          แจกความสดใสซาบซ่า ลิปสติกคือ must have ชิ้นเด็ดที่สาวๆ ทุกคนโหวตให้เป็นตัวช่วยเร่งด่วนที่ช่วยให้หน้าไม่โทรมที่สุด ควรเลือกลิปสติกสีสดใสเน้นความสดชื่นให้ริมฝีปาก ควรหลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกสีเข้มอย่าง ดำ ม่วง น้ำตาลแดง วันที่นอนน้อยและใบหน้าเหนื่อยล้ายิ่งทำให้ใบหน้าดูไม่สดใสนะคะ
          แค่มีตัวช่วยเริ่ดๆ กับเครื่องสำอางเพียง 5 ชิ้น เท่านี้ต่อให้ใบหน้าโทรมอดนอนแค่ไหนก็ไม่เป็นปัญหา แต่ทางที่ดีสาวๆ ควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง รวมถึงจิบน้ำระหว่างวันบ่อยๆ และลองหาเวลาว่างออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที นี่คือสุดยอดตัวช่วยที่ดีที่สุดที่ไม่ทำให้หน้าโทรม เหนื่อยล้านะคะ

5 ภาษากาย ที่บอกว่าเรายังรักกันดี


5 ภาษากาย ที่บอกว่าเรายังรักกันดี

5 ภาษากาย ที่บอกว่าเรายังรักกันดี

       นักจิตวิทยาทั่วโลกเชื่อว่า ภาษากายสามารถสะท้อนถึงอุปนิสัยของแต่ละคนได้ และกริยาท่าทางก็สามารถบอกได้ว่าคน ๆ นั้นเป็นคนอย่างไร หรือรู้สึกกับคนที่กำลังคุยด้วยอย่างไร เพราะบางครั้งคำพูดก็ไม่สามารถบอกได้ทั้งหมด
       ยิ่งเป็นคู่รักที่แต่งงานกันมาสักพักจะรู้ซึ้งดีว่าการแสดงความรักเริ่ม ลดน้อยลง ไม่เหมือนที่ผ่านมา แต่ใช่ว่าทั้งสองคนจะรักกันน้อยลง เพียงแต่ไม่แสดงออกมากเหมือนแต่ก่อนเท่านั้น แล้วจะทำอย่างไรให้รู้ว่าทั้งคุณและเขายังรักกันดี โดยที่ไม่ต้องทวงถามหรือสงสัยในความสัมพันธ์ของคุณทั้งคู่ Happy Wedding.Life มีวิธีดี ๆ มาบอกกันค่ะ นั่นก็คือการมองดูภาษากายของอีกคน ว่าเขาหรือเธอมีภาษากายสื่อรักกับคุณหรือไม่
1. รอยยิ้ม
       ใคร ๆ เค้าก็ยิ้มให้กันทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่รัก คู่แต่งงาน แต่รอยยิ้มที่เป็นภาษาของคู่รัก แตกต่างจากรอยยิ้มอื่น ๆ  และการส่งยิ้มก็มีหลายระดับจนคุณนึกไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นการยิ้มให้คนที่ไม่รู้จัก ยิ้มให้เพื่อน ยิ้มให้เจ้านาย ฯลฯ เจ้ารอยยิ้มนี้เองก็เป็นภาษาอย่างหนึ่งที่คุณสามารถรับรู้ความในใจของเขา หรือเธอได้ โดยไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ ยิ่งเป็นรอยยิ้มที่ได้จากคนรับยามที่คุณเหนื่อยล้า หรือยิ้มที่แสดงให้เห็นว่าคุณยังมีอีกคนคอยอยู่เคียงข้าง ซึ่งสิ่งที่ประทับอยู่บนมุมยิ้มเหล่านี้บ่งบอกได้ดีทีเดียว
2. คอยวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ
         บางครั้งการแสดงความรักไม่จำเป็นต้องเว่อร์วังอลังการหรือให้ใครอื่นรับรู้ เพียงแค่การมีกันและกันตลอดเวลาก็เป็นการแสดงความรักให้กันอย่างหนึ่ง ถ้าเขาหรือเธอคอยแต่จะอยู่ใกล้ ๆ คุณ ไม่อยากให้คุณไปไหนคนเดียว อยากทำกิจกรรมทุกอย่างร่วมกับคุณ เรื่องแบบนี้เป็นภาษากายที่ดีที่สุดที่จะมอบให้กับคนรักโดยไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ เลย
3. ไม่มีอาการต่อต้าน
          การต่อต้านกับการไม่เห็นด้วยนั้นต่างกัน จริงอยู่ที่บางครั้งคนสองคนย่อมมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่ไม่จำเป็นต้องต่อต้านกัน เพราะการต่อต้านคือการเป็นปฏิปักษ์กับสิ่ง ๆ นั้น แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้คนสองคนต่อต้านหรือตั้งตนเป็นศัตรูกัน การต่อต้านเป็นการแสดงออกที่จับอาการได้ทันทีจากกริยาท่าทาง เพราะถ้าคุณรักกันหรือมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ไม่มีทางที่เขาหรือเธอจะต่อต้านคุณเป็นอันขาด
4. ใส่ใจกับเรื่องที่คุณเล่า
           หลังแต่งงานไปสักพักมีคู่รักหลายคู่ที่ความสัมพันธ์ไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะการพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันในชีวิตประจำวัน ก่อนแต่งงานก็ฟังได้เพลิน ๆ แต่พอแต่งงานแล้ว กลับเหม่อลอย ไม่รับรู้ ถือว่าเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างก็ว่าได้ และอย่างที่บอกว่ากริยาท่าทางสามารถบอกได้ว่าคน ๆ นั้นรู้สึกอย่างไร
          โดยเฉพาะในขณะที่คุณกำลังพูดหรือเล่าอะไรสักอย่าง ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ดีที่จะบอกได้ว่าเขาหรือเธอมีท่าทางอย่างไร รู้สึกอย่างไร เพราะจะแสดงออกมาแบบไม่รู้ตัว ถ้ามีปฏิสัมพันธ์ที่ดีแบบไม่ขอไปที หรือแสดงออกถึงการตอบรับ ไม่ว่าจะเป็นการพยักหน้า เออออห่อหมก แสดงความเห็น ฯลฯ ก็เท่ากับเป็นการใส่ใจที่แสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่ดีอย่างหนึ่ง
5. สัมผัส
         การสัมผัสเป็นวิธีการแสดงความรักที่ดีที่สุด แถมยังเป็นภาษากายที่สื่อความหมายได้ง่ายที่สุดด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสที่อ่อนโยนหรือหนักหน่วงก็ตาม ทั้งการกอด จับมือ หรือลูบไล้ สิ่งเหล่านี้เป็นท่าทีที่แสดงออกถึงความรักด้วยกันทั้งนั้น คุณสามารถรับรู้ได้ว่าอีกคนมีท่าทีอย่างไรจากการสัมผัสนั้น ๆ
         ภาษากายเป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้เข้าใจสถานการณ์ได้ชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องมีคำ พูดใด ๆ เพราะฉะนั้นอย่ามองข้ามภาษากายหรือสัญญาณบางอย่างที่คุณได้รับเป็นอันขาด นั่นอาจเป็นการแสดงรักในแบบที่คุณไม่รู้ตัวก็ได้

12 วิธีเลือกเพศบุตรแบบธรรมชาติ

12 วิธีเลือกเพศบุตรแบบธรรมชาติ

12 วิธีเลือกเพศบุตรแบบธรรมชาติ

นิตยสาร ชีวจิต
สนับสนุนเนื้อหา
ไม่ว่าจะผ่านไปยุคไหน “เพศ” ของลูกๆ ก็ดูยังเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพ่อแม่ในหลายครอบครัวเสมอ
การต้องการเลือกเพศบุตรนั้นเป็นเรื่องปกติในหลายสังคม เช่นเดียวกับในบ้านเรา แต่ต้นทุนในการพึ่งเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ช่วยให้มีลูกนั้น ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก วันนี้แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข สูตินรีแพทย์คนเก่งของเราจึงแนะนำ 12 วิธีธรรมชาติที่จะช่วยกำหนดเพศลูกๆ ของคุณได้โดยไม่ต้องไปพึ่งเทคโนโลยี หรือวิทยาการการแพทย์ใดๆ
…ฟังดูน่าสนใจแล้วใช่ไหม งั้นไปเรียนรู้เรื่องนี้พร้อมๆ กันเลยค่ะ
Q: ดิฉันเพิ่งแต่งงานได้ 4 เดือนเศษ ตั้งใจจะมีบุตรภายในปีนี้ เคยได้ยินว่าสภาวะความเป็นกรดด่างของช่องคลอดมีผลต่อการกำหนดเพศบุตรในครรภ์ ด้วย จริงหรือไม่ฉะนั้น นอกจากวิธีนี้แล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยกำหนดเพศบุตรตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องทำเด็กหลอดแก้วไหมคะ
จาก ส้มลิ้ม อายุ 30 ปี
A: เรื่องความอยากได้เพศลูกตามความต้องการนั้น เป็นมาตั้งแต่สมัยโบราณ บางคู่ภรรยาสามีอยากได้ลูกชาย ปล่อยให้ตั้งครรภ์จนได้ลูกสาวไป เรื่อยจนครบ12คน แต่ไม่ได้ลูกผู้ชายก็มี บางคนมีแต่ลูกชายอยากได้ลูกสาว ปล่อยให้มีลูกชายไปเรื่อย ๆ 0oสมหวังได้ลูกสาวเป็นคนสุดท้องก็มี หรือไม่สมหวังก็มี เข้าใจเลยว่าคุณพ่อคุณแม่ที่ตั้งความหวัง เมื่อได้ลูกเพศที่ไม่ต้องการ จะรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะ ในสมัยที่ไม่มีอัลตร้าซาวนด์บอกเพศ คุณแม่ที่อยากได้เพศลูกตามต้องการจะเที่ยวเสาะแสวงหาหมอดู ดูสะดือ ดูลักษณะท้องดูรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณทำนายโดยใบไม้ โดยดวง โดยวันเกิดฯลฯ เพื่อให้ได้ทราบเพศลูก
เมื่อคลอดและรู้ว่าเป็นเพศที่ต้องการก็ดีใจจนลืมความเจ็บปวดของการคลอด สามีและญาติ ที่รออยู่หน้าห้องคลอดก็พากันร้องไชโยโห่หิ้ว พอรู้ว่าไม่ใช่ คุณแม่ถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้น หมดแรงไปเลยก็มี
เรื่องเพศลูกยังเป็นเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี ในบางเชื้อชาติ ต้องการเด็กชายมาก หากสะใภ้ไม่มีลูกชาย บางทีแม่สามีถึงกับให้ลูกชายเปลี่ยนภรรยาทีเดียว ความเครียดเรื่องเพศของลูกจึงตกอยู่กับคนเป็นแม่อย่างหลีกเลี่ยงไมได้ สมัยนี้เราทราบเพศล่วงหน้าก่อนคลอด ก็ยังเจอคุณพ่อหลายรายกดดันภรรยาตนเอง คุณแม่ยังไม่คลอด ก็สั่งให้ได้เพศที่ต้องการในท้องหน้าก็มี
ความเป็นจริง ในธรรมชาติ จำนวนทารกเพศชายมีมากกว่าทารกเพศหญิง ประมาณ 102 : 100 และไม่มีวิธีคัดเลือกเพศบุตรตามธรรมชาติที่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตามมีวิธีคัดเลือกเพศบุตรตามธรรมชาติ ที่เพิ่มโอกาสให้ได้ทารกเพศที่ต้องการดังนี้ค่ะ
1.ใช้ความเป็นกรด-ด่างของช่องคลอด เชื่อว่าความเป็นกรดด่างสามารถเลือกเพศได้ โดยอสุจิที่เรียกว่าสเปิร์มวาย(Y)ทำให้เกิดเพศชายชอบความเป็นด่าง ส่วนสเปิร์มเอ็กซ์(X)ทำให้เกิดเพศหญิงชอบความเป็นกรด
ดังนั้นหากสวนล้าง ด้วยน้ำส้มสายชูก่อนมีเพศสัมพันธ์ โอกาสได้ลูกสาวมีมากกว่า (วิธีทำ ใช้น้ำส้มสายชูที่ใช้ทำอาหาร มาผสมน้ำครึ่งต่อครึ่ง สวนล้างภายใน) หากสวนล้างด้วยน้ำด่างก่อนมีเพศสัมพันธ์ โดยใช้โซเดียมไบคาร์โบเนต(ผงฟูทำขนมปัง) จำนวน 1ช้อนชา ผสมน้ำ1แก้วจะมีโอกาสได้ลูกชายมากกว่า
2.อาหารการกิน อาหารที่เพิ่มความเป็นกรดให้ช่องคลอด เช่น ผัก ผลไม้ อาหารรสจืด นม ขนมปัง แคลเซียม เพิ่มโอกาสได้ลูกสาว ส่วนอาหารรสจัด รสเค็ม ถั่ว เนื้อสัตว์ ของหมัก ดอง อาหารทะเล เพิ่มโอกาสได้ลูกชาย

3.การถึงจุดสุดยอด
เชื่อว่าหากผู้หญิงถึง จุดสุดยอดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ จะปล่อยมูกที่มีความเป็นด่างออกมา ทำให้มีโอกาสได้ลูกชายมากกว่า ดังนั้นหากต้องการได้ลูกสาว ต้องไม่ถึงจุดสุดยอดก่อนที่สามีจะปล่อยน้ำอสุจิออกมา

4.ดินฟ้าอากาศ
เนื่องจากสเปิร์มวาย วิ่งเร็ว ปราดเปรียว และตายง่าย ตรงกันข้ามกับสเปิร์มเอ็กซ์ อุ้ยอ้าย วิ่งช้า และตายยาก หากมีเพศสัมพันธ์ในที่ที่ มีอากาศอุ่นสบายมักได้ลูกผู้ชาย ส่วนอากาศหนาวจัดมักได้ลูกผู้หญิง เพราะสเปิร์มวายทนหนาวไม่ได้

5.สุขภาพพ่อแม่
หาก พ่อป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ดื่มเหล้า สูบบุหรี่จัด เที่ยวกลางคืนเป็นนิจ แม่ได้รับควันบุหรี่ มีตกขาวมาก มีโอกาสได้ลูกสาวมากกว่า เพราะสเปิร์มเอ็กซ์อยู่รอยมากกว่า

6.มีเพศสัมพันธ์กันวันไข่ตก
ในกรณีที่ประจำเดือนรอบละ28 วันหากมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ไข่ตก ซึ่งมักเป็นวันที่ 14 ของประจำเดือนมักเป็นลูกชาย ส่วนการมีเพศสัมพันธ์กันอย่างสม่ำเสมอ เช่นวันเว้น2วันตลอดเดือน ทั้งหยุดมีเพศสัมพันธ์ก่อนไข่ตก 2-3วันโอกาสจะได้ลูกสาวมากกว่า

7.ช่องคลอดลึกและอวัยวะเพศชายสั้น
โอกาส ได้ลูกสาวมีมากกว่า เพราะระยะทางไกลสเปิร์มวายจึงอดทนสู้สเปิร์มเอ็กซ์ไม่ได้ การย่นระยะการเดินทางของตัวอสุจิ เช่นสอดใส่อวัยวะเพศชายให้ลึก มีโอกาสได้ลูกชายมากกว่า

8.ท่วงท่าในการมีเพศสัมพันธ์
เป็น เรื่องหนึ่งที่กำหนดเพศตามธรรมชาติ เชื่อว่า ท่ามิชชั่นนารี (ชายอยู่ด้านบน ผู้หญิงอยู่ด้านล่าง) สอดใส่ได้ไม่ลึกมักได้ลูกสาว ท่าอื่นๆที่พลิกแพลง เช่นสอดใส่ช่องคลอดผ่านด้านหลัง(Rear entry) ท่านารีขี่ม้า (ชายอยู่ด้านล่าง ผู้หญิงอยู่ด้านบน) หรืออีกหลายๆท่า ที่ทำให้สอดใส่ลึก อสุจิวิ่งตรงเข้าปากมดลูก มักได้ลูกชาย

9.บุคลิกภาพ
ฝ่าย ชายที่เครียด ไม่ออกกำลังกาย หรือนอนดึก มักได้ลูกสาว คุณแม่ที่มีบุคลิกมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ชอบเอาชนะคนอื่น มีโอกาสได้ลูกชายมากกว่าลูกสาว

10.อุณหภูมิของลูกอัณฑะ
ฝ่าย ชายที่ชอบอาบน้ำร้อน ชอบนุ่งกางเกงชั้นในคับๆ อุณหภูมิลูกอัณฑะสูง โอกาสได้ลูกสาวมากกว่าลูกชายเพราะสเปิร์มวายตายง่ายกว่าสเปิร์มเอ็กซ์

11.การตั้งครรภ์ที่พลาดจากการคุมกำเนิด
เช่น ลืมกินยาคุมกำเนิด ตั้งครรภ์ขณะใส่ห่วงอนามัย ทำหมันแล้วหมันหลุด ถุงยางอนามัยฉีกหรือรั่ว มักจะได้ลูกสาว

12. ผู้ที่มีจิตใจสงบมีสมาธิ
ชอบกินผักผลไม้และงดเว้นเนื้อสัตว์ มักได้ลูกสาวมากกว่า
การเลือกบุตรตามธรรมชาติเป็นสิทธิที่จะทำได้ แต่การเลือกเพศบุตร โดยเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ เช่นเด็กหลอดแก้ว ถือว่าผิดกฎหมาย แท้จริงแล้ว คนเราไม่ควรคัดเลือกเพศบุตรจากเหตุผลดังต่อไปนี้
ทำให้เสียสมดุลของธรรมชาติซึ่งจะมีผลเสียต่อสังคมโลก ปัจจุบันบางหมู่บ้านในบางประเทศขาดแคลนผู้หญิงจนเกิดมีการซื้อขายผู้หญิง หรือฉุดคร่าผู้หญิงเพื่อการแต่งงาน
เกิดปัญหาจริยธรรม การเลือกเพศลูก หลายวิธีโหดร้ายสร้างปัญหาทางจริยธรรม เช่นทำลายตัวอ่อนที่เป็นเพศที่ไม่ต้องการทิ้ง ทำแท้งเด็ก ฆ่าเด็ก ทารุณกรรมเด็ก
เป็นสิทธิของเด็กที่จะเกิดมา ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนทารกควรมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิต ได้รับการดูแลเอาใจใส่ เลี้ยงดูอย่างเท่าเทียม ได้รับความรักอย่างเสมอภาค
ความดีไม่จำกัดเพศ ความเป็นคนดี คนเก่ง คนที่จรรโลงโลกให้น่าอยู่ ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นเพศใด
ใครจะทดลองทำดู เราไม่หวงนะคะ …ยิ่งถ้าแนะนำคนใกล้ชิดต่อก็จะยิ่งดีมาก ^^

9 สาเหตุที่ไม่ผู้หญิงไม่ยอมมีลูก

หญิง 9 คนแจงสาเหตุที่ไม่ยอมมีลูก
ลองนึกภาพวันหนึ่ง คุณกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟ แล้วก็มีคุณพ่อ เข็นรถเข็นลูกสาววัย ประมาณ 2 ขวบเข้ามาในร้าน เธอช่างดูน่ารัก แก้มใส ดวงตากลมโต เธอมองออกไปข้างนอก ทันทีที่เห็นสุนัขเดินผ่าน เธอชี้ และร้องออกมาอย่างตื่นเต้น สาวๆ หลายๆ คนเห็นแล้วอาจจะนึกอยากมีกับเขาบ้าง แต่ในทางกลับกัน ก็มีผู้หญิงอีกไม่น้อย ที่เขาเลือกไม่มีลูก เพราะอะไรมาดูเหตุผลของพวกเธอกัน
1. เราจะไปไหนก็ได้ ถ้าเราไม่มีลูก
Katie วัย 26 หนึ่งในหญิง 9 คน ที่แจงเหตุผลของการไม่อยากมีลูกว่า หลังจากที่หมอบอกเธอว่า เธอเป็นคนมีลูกยาก เธอก็ยอมรับมันแต่โดยดี และคิดในมุมกลับว่า การไม่มีลูกนั้นทำให้เธอมีอิสระที่จะไปไหนก็ได้ เธอเห็นเพื่อนๆ ที่มีลูกเล็กๆ ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำ บางคนอยากเรียนต่อก็ไม่ได้เรียน การงานก็ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร แม้แต่จะไปเที่ยวก็ยังลำบาก เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เธอคิดว่า เธอตัดสินใจถูกแล้ว ที่ไม่พยายามจะมีลูก
2. หมอไม่คิดจะทำหมันให้ ทั้งๆ ที่เธอแต่งงาน มีลูกติดตั้ง 2 คนแล้ว
Cori วัย 31 บอกว่าจริงๆ แล้ว เธอไม่ชอบเด็ก มาตั้งแต่สมัยที่เธอเป็นเด็กแล้ว เธอพยายามจะปรึกษาแพทย์ เพื่อขอทำหมัน แต่ไม่มีแพทย์คนไหนยอมทำให้ ทั้ง ๆ ที่เธอแต่งงาน และมีลูกติดตั้ง 2 คนแล้ว โชคดีอย่าง คนที่เธอแต่งงานด้วยนั้นเป็นผู้หญิง เธอจึงไม่จำเป็นต้องมีลูกของตัวเอง ใครๆ ก็คาดหวังว่าเธอจะต้องรักเด็ก เพราะการทำกิจกรรมร่วมกับเด็กนั้น ช่างดูมีความสุข พาพวกเขาไปสวนสัตว์ ทำงานศิลปะร่วมกัน แต่เธอบอกว่า เชื่อเถอะ นั่นไม่สนุกหรอก ยิ่งถ้าต้องพาเด็กไปทำธุระ ความยุ่งยากจะเกิดขึ้นแน่นอน
3. เพื่อนที่แสนดีจะเปลี่ยนไป เมื่อเรามีลูก
Ciara วัย 37 บอกว่า เมื่อถึงเวลาเธอต้องเลือก ว่าจะมีลูกดีหรือไม่ เธอเลือกไม่มี เพราะหาคำตอบไม่ได้ว่า เพราะเหตุใดถึงอยากมีลูก การมีลูก ทำให้มีข้อจำกัดทางสังคม การเงิน และการงาน ตอนที่อยู่ในวัย 20 กว่าๆ เพื่อนๆ หลายคนบอกว่า แล้ววันหนึ่งเธอจะเปลี่ยนใจ แต่ในที่สุดแล้ว เธอก็ไม่เปลี่ยน อีกทั้งยังพบว่า ความสัมพันธ์เพื่อนสนิท ก็เปลี่ยนแปลงไป เมื่อพวกเขาเหล่านั้นมีลูก
4. ประสบการณ์ในการดูแลเด็กทำให้ไม่อยากมีลูก
Jasmine วัย 23 ปี เล่าว่า เธอผ่านประสบการณ์ในการดูแลเด็กมา นั่นทำให้ตัดสินใจได้เลยว่า ไม่ต้องการมีลูก ในตอนที่เธออายุ 13 ปี เธอเคยไปช่วยงานสถานรับเลี้ยงเด็ก ซึ่งมีเด็กตั้งแต่อายุไม่กี่เดือน จนถึง 10 ขวบ เธอต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่แปรงฟันให้เด็ก ติดคาร์ซีท หรือแม้กระทั่งช่วยเหลือเด็กที่เพิ่งเริมมีประจำเดือน ประสบการณ์ตรงนั้น ทำให้เห็นว่า การเป็นพ่อแม่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้ตอนนี้ใครๆ ก็บอกเธอว่า ไว้แต่งงานก่อนเถอะ แล้วจะเปลี่ยนใจ แต่เธอคิดว่า ไม่น่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนใจเธอได้ง่ายๆ

5. คุณค่าของความเป็นผู้หญิงไม่ได้อยู่ที่การมีลูก
Kristen วัย 26 ปี เล่าว่า เมื่อสมัยเด็กๆ เพื่อนๆ ชอบนั่งคิดชื่อลูก ว่าอีกหน่อยถ้ามีลูกชายจะชื่ออะไร มีลูกสาวจะชื่ออะไรดี เธอบอกว่า เธอก็คิดกับเขาเหมือนกันนะ แต่ไม่ได้จะเอามาตั้งขื่อลูกหรอก จะเอามาตั้งชื่อสัตว์เลี้ยง แต่ที่กล่าวเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเธอดูถูก หรือไม่นับถือคนมีลูก แต่เธอคิดว่า คุณค่าของความเป็นผู้หญิง ไม่ได้อยู่ที่การมีลูกเท่านั้น โชคดี ที่สามีของเธอเข้าใจ พ่อแม่ ก็เข้าใจ ทุกคนในครอบครัว ต่างเคารพในการตัดสินใจของเธอ เธออยากให้ผู้หญิงทุกคน ภูมิใจในความเป็นหญิงด้วย ไม่ใช่แค่ภูมิใจในความเป็นแม่เท่านั้น
6. รักเด็ก ไม่ใช่ว่าพร้อมจะรับผิดชอบ
Jessica วัย 36 ปี คนรักเด็ก ไม่ใช่ว่าพร้อมจะดูแลรับผิดชอบลูกของตัวเองเสมอไป มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เราอยากจะทำเพื่อตัวของเราเอง และการมีลูก ก็ทำให้ไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ความมีอิสระ เธอเล่าว่า ครอบครัวของเธอเอง มีปัญหาเรื่องการติดเหล้ามาก่อน เธอเคยเก็บกดและเป็นทุกข์ อีกทั้งการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอจึงเลือกที่จะไม่มีลูก แม้พ่อแม่ของเธอจะไม่ว่าอะไร แต่พี่สาวของเธอกลับเห็นว่า ยังไงก็ควรจะมี ถึงขนาดล้อเล่นว่า ถ้าอยากมีเอาตอนอายุ 40 คงต้องไปพึ่งพาศูนย์ผู้มีบุตรยาก ถึงตอนนั้นจะไปเป็นเพื่อน แต่ตอนนี้ เธอยังมั่นใจ ว่านั่นจะไม่เป็นทางเลือกของเธอ
7. การไม่มีลูก ทำให้ไม่รู้สึกกลัว เวลาเห็นข่าวร้าย ๆ ว่าวันหนึ่ง มันอาจจะเกิดขึ้นกับลูกของเรา
Carol วัย 58 บอกว่า ตอนที่อายุได้แค่ 11 ปี เธอก็ตัดสินใจแล้วว่า จะไม่มีลูก จากนั้น เมื่ออายุได้ 20 กว่าๆ ก็ถามตัวเองอีกครั้ง เพราะสามีคนก่อนของเธออยากมีลูกมาก แต่จนแล้วจนรอดในปัจจุบัน เธอก็ไม่มี และบอกอีกว่า เธอทำงานเกี่ยวกับเรื่องเพศ ทำให้รู้ว่า คนทั่วๆ ไปเห็นว่า เมื่อแต่งงานก็ต้องมีลูก มันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สำหรับเธอแล้ว ผู้หญิงไม่ได้มีหน้าที่แค่มีลูก และงานคือการเลี้ยงลูก ยิ่งพอเห็นข่าวเลวร้ายมากมายในทุกวันนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองคิดถูก เพระถ้ามีลูก ก็ต้องมานั่งกังวลว่า เรื่องร้ายๆ เหล่านั้น มันจะมาเกิดกับลูกเราเมื่อไหร่
8. เรารู้ว่าอะไรดีสำหรับเรา
Sophia วัย 34 ปี เล่าว่า ตอนอายุประมาณ 26 ก็เริ่มคิดถึงทางเลือกของการมีลูก แต่ก็รู้สึกว่า ตัวเองไม่เหมาะกับการเป็นแม่สักเท่าไหร่ แล้วถ้ามีลูก ชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลงไป แน่นอน เธอบอกว่าเธอโสด เพราะยังไม่เจอใคร ที่คิดจะใช้ชีวิตร่วมกันแบบไม่ต้องมีลูก ทุกวันนี้ เธอก็มีเพื่อนชายคบหา แต่ภายใต้แนวคิดว่า เธอรู้ดีว่าอะไรดีสำหรับเธอ เธอต้องการใช้ชีวิตให้เต็มที่
9. ไม่ต้องการกำหนดเวลาในแต่ละช่วงของชีวิต
Rachel วัย 46 ปี ไม่เคยยึดติดว่า เมื่ออายุเท่านั้นเท่านี้ จะต้องทำอะไร เธอบอกว่า ตอนอายุได้เพียง 10 ขวบ เธอบอกแม่ว่า เธอไม่ต้องการมีลูก แม่ของเธอหัวเราะใหญ่ และบอกว่า ลูกยังเด็กเมื่อโตขึ้น เมื่อเจอคนที่ใช่ ความคิดก็จะเปลี่ยนไป เธอกลับตอบแม่ว่า คนที่ใช่สำหรับเธอก็คือคนที่ไม่ต้องการมีลูกเหมือนกัน Rachel ทำงานเป็นครูอนุบาล มานานกว่า 15 ปี และการทำงานกับเด็กนี้ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากมีลูก เพราะเมื่อไม่มีลูก ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ไม่ต้องกังวลว่า หากวันหนึ่งเธอตายไปแล้ว ลูกๆ จะเป็นอย่างไร

กระแสแรง..ไปญี่ปุ่นแบบไม่เสียเงินสักบาท

จากกระแสการถ่ายภาพของชาวโซเชียลที่ใครหลายคนต่างอัพ Lifestyle เก๋ๆ บางคนก็อัพเพื่อเล่าเรื่องราวสิ่งที่พบเจอต่างๆ รอบตัวในชีวิตประจำวัน แต่มีจำนวนคนไม่น้อยที่อัพเพื่อเก็บภาพไว้เป็นแกลอรี่ส่วนตัว ยิ่งหากใครมีรูปภาพสวย จัดองค์ประกอบโดน สีของภาพเด่นแล้วนั้น ก็ไม่ควรพลาดที่จะส่งภาพถ่าย หรือวีดีโอสุดเก๋นี้
อวดกับ Canon เพื่อลุ้นรางวัลบินไกลถึงญี่ปุ่นฟรี มูลค่า 100,000 บาท
และรางวัลดีๆ มากมายกว่า 60 รางวัล

โอกาสลุ้นทริปบินฟรีไปญี่ปุ่นง่ายเพียงปลายนิ้วอย่างนี้ทำให้ชาวเน็ตแห่ กันแชร์ภาพผ่านเว็บไซต์ของ canon โดยมีการโพสท์ภาพถ่ายหรือวีดีโอคุมโทนสี พร้อมแคปชั่นบรรยายตามแบบฉบับ ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นแนวน่ารักสไตล์ Cutie tone หรือแนวอาร์ตสไตล์ Wicked tone ต่างส่งเข้ามาร่วมสนุกกับจนเต็มหน้า feed Facebook

ยิ่งกำหนดการหมดเขตการร่วมสนุกใกล้เข้ามาอย่างนี้ก็ยิ่งมีกลุ่มคนสนใจถ่ายภาพมาร่วมเล่น
เป็นจำนวนมากเพราะกติกาก็ง่ายแสนง่ายเหมาะกับคนที่ชอบแบ่งปันหรือเล่าเรื่องราว
ผ่านภาพถ่าย


เพื่อนๆ ท่านใดที่มีแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่นในปีนี้แนะนำให้ลองคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ของ canon
http://eosclub.canon.co.th/MyToneMyM10/PhotoStyleContest
ศึกษา กติกาและเงื่อนไข จากนั้นก็โพสท์แชร์รูปภาพได้เลย รีบหน่อยนะถ้าอยากเป็นหนึ่งใน ผู้โชคดีร่วมลุ้นบินไปเที่ยวฟินๆ กันที่ญี่ปุ่นแบบไม่เสียเงินสักบาทเพราะทาง Canon ขยายโอกาสให้เพื่อนๆ ท่านใดที่สนใจสามารถร่วมสนุก กับแคมเปญนี้ได้ตั้งแต่วันนี้ - 10 กรกฎาคม 2559

“เลี้ยงลูกเจนอัลฟ่า ให้เป็นเด็กหลายภาษาพร้อมรับ AEC”

นิตยสาร Amarin Baby & Kids ขอเชิญชวนคุณพ่อคุณแม่ร่วมเข้าฟังกิจกรรมดีๆ “เลี้ยงลูกเจนอัลฟ่า ให้เป็นเด็กหลายภาษาพร้อมรับ AEC” โดยพบกับ รองศาสตราจารย์นายแพทย์ สุริยเดว ทรีปาตี ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญด้านวิเคราะห์ ส่งเสริมให้เด็กเก่งภาษา ที่จะมาแนะนำเทคนิคในการส่งเสริมทักษะทางด้านภาษาให้กับลูกรักของคุณ เพื่อพร้อมรับกับ AEC
และเคล็ดลับดีๆอีกมากมาย มาร่วมพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน 2559 เวลา 13.30 – 16.20 น. ณ สำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) ค่าลงทะเบียนครอบครัวละ 200 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.amarinbabyandkids.com/generation-alpha

ห้ามพลาด !! ถ้าอยากให้ลูกคุณเก่งภาษา รับจำนวนจำกัดเพียง 100 ครอบครัวเท่านั้น !!
** สำรองที่นั่งโทร 0-2422-9999 ต่อ 4123 หรือ abkthai.media@gmail.com **

วิธีกินให้หุ่นดี ทำตามนี้หุ่นปิ๊งแน่!

เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยผู้หญิงต่างต้องการมีหุ่นดี เพราะการมีหุ่นดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่สาวๆ ทุกคนได้ ดังนั้นหากคุณต้องการมีหุ่นดีเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง ก็ต้องรู้วิธีการทานอาหารเช่นเดียวกัน เพราะการทานอาหารถือเป็นเหตุผลต้นๆ ที่จะทำให้สุขภาพร่างกายของคุณเกิดการเปลี่ยนแปลง ถ้าอยากรู้ว่าการมีหุ่นดีต้องทานอาหารอย่างไรบ้างนั้น ตามไปอ่านพร้อมๆ กันเลยค่ะ
วิธีกินให้หุ่นดี ทำตามนี้หุ่นปิ๊งแน่!
วิธีกินให้หุ่นดี ทำตามนี้หุ่นปิ๊งแน่!
ทานอาหารครบทุกมื้อ
การทานอาหารครบทุกมื้อทั้งเช้า กลางวัน และเย็นก่อนเวลา 6 โมงเย็น จะช่วยให้คุณมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยทำให้คุณมีหุ่นดีอีกด้วย ในขณะที่สาวๆ หลายคนเลือกที่จะอดอาหารในช่วงเย็น และพยายามลดจำนวนมื้ออาหารน้อยลงเพราะคิดว่าจะช่วยลดน้ำหนักจนทำให้หุ่นดี ถือเป็นวิธีคิดที่ผิดอย่างมากเลยทีเดียว เพราะนั่นอาจทำให้ร่างกายของคุณเกิดภาวะขาดสารอาหารได้
เลือกทานผลไม้สด
การฝึกตัวเองให้ทานผลไม้สดเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ร่างกายของคุณได้รับสารอาหารและวิตามินต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย อีกทั้งยังช่วยในเรื่องหุ่นดีได้อีกเช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องงดทานผลไม้บางชนิดที่อาจให้ความหวานแก่ร่างกายมากเกินไป เช่น ละมุด เงาะ ลำไย ทุเรียน และขนุน เป็นต้น
วิธีกินให้หุ่นดี ทำตามนี้หุ่นปิ๊งแน่!
วิธีกินให้หุ่นดี ทำตามนี้หุ่นปิ๊งแน่!
ดื่มนมก่อนนอนทุกครั้ง
การดื่มนม ก็เพื่อเพิ่มสารอาหารที่ดีแก่ร่างกาย อีกทั้งยังช่วยทำให้ร่างกายของคุณแข็งแรงขึ้น แต่หากคุณต้องดื่มนมทุกครั้งก่อนนอน แนะนำให้ดื่มนมไขมันต่ำก่อนนอน 4 ชั่วโมง จะช่วยให้คุณมีสุขภาพร่างกายและหุ่นที่ดีได้
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น หรือช่วยทำให้สมองเกิดความปลอดโปร่งเพียงเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้คุณมีสุขภาพร่างกายที่ดี พร้อมทั้งเผยหุ่นดีได้ตามที่ต้องการ ดังนั้นในทุกวันร่างกายของคุณควรได้รับปริมาณน้ำที่เพียงพอ โดยควรดื่มประมาณวันละ 8-10 แก้ว
วิธีกินให้หุ่นดี ทำตามนี้หุ่นปิ๊งแน่!
วิธีกินให้หุ่นดี ทำตามนี้หุ่นปิ๊งแน่!
จำกัดปริมาณการกินเบเกอร์รี่
การกินเบเกอร์รี่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับสุขภาพของสาวๆ เสมอไป เพราะการรู้จักควบคุมการกินให้เพียงพอก็จะช่วยรักษาน้ำหนักและหุ่นดีของคุณ ได้ ทั้งนี้แนะนำให้สาวๆ กินเบเกอร์รี่ประมาณสัปดาห์ละครั้ง และไม่แนะนำให้กินจนเต็มอิ่ม เพราะอาจทำให้คุณรู้สึกอยากทานตลอดเวลา
การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง พร้อมทั้งให้หุ่นดี ถือเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ต่างต้องการ แต่อย่าลืมว่าสุขภาพร่างกายของแต่ละคนจะดีหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกทานอาหารในแต่ละครั้งเช่นเดียวกัน ดังนั้นอย่าลืมใส่ใจในเรื่องอาหารการกินกันให้ดีๆ ด้วยนะคะ

ฉ่ำละมุน เมคอัพสวยแบ๊วดั่งตุ๊กตา

สาวๆ ค่ะรู้ไหมว่าตอนนี้เทรนด์การแต่งหน้านุ่มละมุนกำลังมาแร๊งส์ และเป็นเทรนด์แต่งหน้าสุด ฮิตของเหล่าสาวๆ เกาหลี โดยจุดเด่นอยู่ที่การใช้สีชมพูประยุกต์เข้ากับใบหน้า เผยให้เห็นลุคสดใส ดวงตาฉ่ำหวาน ละมุนอะไรเบอร์นี้ ว่าแล้วมาดูกันดีกว่าค่ะ แต่งตามได้ไม่อยากบอกเลย
image1
1.เลือกอายแชโดว์สีชมพูให้ตาดูฉ่ำหวาน(Dewy Look) อาจ เลือกใช้สีแดงชมพู่ หากมีชิมเมอร์วิบวับยิ่งโดดเด่น โดยการเล่นหัวตาด้วยการใช้อายไลเนอร์สีขาวมาแต้มให้ตาวิ๊งๆ ประกอบกับเลือกสีลิปสติกเฉดสีชมพู อาจจะเพิ่มลิปเนื้อเจลมาผสม ก็ช่วยให้ริมฝีปากเราดูหวาน อวบอิ่ม น่ามองขึ้นได้
image2
แต่งเสร็จแล้วก็จะได้ดวงตาหวานแบ๊วแบบนี้ค่ะ
image3
2.ใส่ชิมเมอร์ไฮไลท์ใต้ตา เพิ่มความแบ๊วสดใส และเพิ่มความอินโนเซ็นส์สดใสด้วยแก้มอมชมพูระเรื่อ
image4
3.เติมเรียวปากชมพูระเรื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ
image6
มุ้งมิ้งไหมล่ะค่ะ น่ารักขั้นสุด
image5
เคล็ดลับ สำหรับสาวคนไหนที่อยากจะแต่งหน้าลุคนี้ให้เหมือนตุ๊กตาแบ๊วสุดๆ ที่สุดคอนเทคเลนส์สีเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ รวมถึงการติดขนตาปลอม รวมถึงการลงคอนซินเลอร์เพื่อปกปิดและรองพื้นที่เนียนกริบนะคะ

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เทคนิคเพิ่มสวยในหน้าฝน

เทคนิคเพิ่มสวยในหน้าฝน

เทคนิคเพิ่มสวยในหน้าฝน

สาวๆ หลายคนไม่ชอบหน้าฝน เพราะมันช่างเป็นฤดูกาลที่สวยยากจริงๆ ไหนจะโดนละอองฝนจนหัวฟู ไหนจะมาสคาร่าเยิ้ม จนลูกตาเหมือนหมีแพนด้า ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงฤดูกาลอันเลอะเทอะเฉอะแฉะนี้ไม่ได้ เรามาหาวิธีจัดการกับความงามในช่วงหน้าฝนนี้กันดีกว่า เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้คุณยังคงสวยอยู่ได้ แม้ในวันฝนพรำ
1. เลือกทรงผมที่ดูเป็นธรรมชาติ อย่าม้วนหรือทำลอนให้มากจนเกินไป เทคนิคนี้ช่วยได้ ไม่ว่าคุณจะมีผมบาง ผมหนา ผมตรง ผมหยิก หรือผมหยักศก แน่นอนว่าถ้าหากโดยละอองฝน ผมจะเสียทรง หยิกชี้ฟูได้ง่าย ช่างผมแนะนำว่า ฤดูกาลนี้ควรเน้นความเรียบง่าย ไม่ต้องทำลอนผมมากนัก และควรจะเลือกใช้มูส เจล หรือผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมอื่นๆ ที่ไม่หนักในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็พอ


2. แต่งหน้าอ่อนๆ เข้าไว้
แม้ว่าเราจะมีเครื่องสำอางค์กันน้ำครบสูตร ทั้งมาสคาร่า อายไลเนอร์ รองพื้น แต่ช่างแต่งหน้า เขาแนะนำว่า การใช้ครีมและรองพื้นหนาๆ ในช่วงที่อากาศมีความชื้นสูงนั้น ไม่เป็นผลดี นอกจากจะก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหน้าได้แล้ว การใช้เครื่องสำอางค์หนาๆ หนักๆ มาแต่งหน้า ก็จะให้หน้าเยิ้มได้
ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ อาจจะเลือกเครื่องสำอางค์เนื้อบางเบา สีสว่างๆ เลือกแป้ง ที่มีสีบรอนซ์ผสม ปัดแก้ม และไฮไลท์ เพียงใสๆ เบาๆ ก็พอ


3. รับมือกับความชื้นแฉะ แม้เราจะมีร่ม ที่ช่วยให้เราไม่โดนฝนจนเปียกโชกแต่สำหรับความชื้นนั้น เราป้องกันไม่ได้เลย ดังนั้น เราควรจะมีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาผมชี้ฟูจากละอองฝน หรือความชื้นเอาไว้ด้วย หลังจัดแต่งทรงผม ลองหาสเปรย์ไล่ความชื้นมาเป็นตัวช่วยอีกแรง จะทำให้ผมอยู่ทรงได้นานขึ้น
และหากมีขนาดพกพา ก็พกไปด้วย หรือในกรณีฉุกเฉิน โดนละอองฝนจนผมชี้ฟูไปแล้ว และหาสเปรย์ไม่ได้จริงๆ สิ่งที่พอจะช่วยได้ก็คือ ครีมทามือนั่นเอง ใช่ในปริมาณเล็กน้อยลูบเบาๆ ลงบนเส้นผม จะช่วยลดปัญหาผู้ชี้ฟูไม่เป็นทรงให้คุณได้


4. เพิ่มความปราณีตในขั้นตอนการแต่งหน้า ในสภาพอากาศแบบนี้ ควรเพิ่มความพิถีพิถันให้กับการแต่งหน้า ไม่ใช่เพียงแค่ทาๆ ป้ายๆ เครื่องสำอางค์ลงไปบนหน้าเท่านั้น แต่ควรค่อยๆ นวด ให้เครื่องสำอางค์นั้นซึมลงไปในผิวให้มากที่สุด เพื่อให้แลดูผิวเรียบเนียน มีสีสันได้ตลอดทั้งวัน ในสภาพอากาศที่อาจจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยเช่นนี้


5. พยายามทำให้เส้นผมมีวอลลุ่ม ผลิตภัณฑ์ตกแต่งทรงผม ประเภทที่ช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้กับผมได้ เราอาจจะใช้ผลิตภัณฑ์พวกนี้ หวีบริเวณโคนผม ผมดูสลวยเป็นธรรมชาติ ไม่ลีบแบน หรือหากว่า คุณเปียกปอนไปหมดแล้ว อีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยคุณได้ ก็คือ รวบหางม้าซะเลย


6. หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางค์ที่ทำให้หน้าเป็นมันเงา ควรนึกไว้เสมอว่า ในช่วงที่แดดไม่ค่อยจะส่อง ใบหน้าเราก็ไม่ควรจะส่องแสงเช่นกัน ดังนั้นลองเลือกเครื่องสำอางค์ประเภทเนื้อแมท หรือสีด้าน ไม่ส่องประกายมันเงาเข้าไว้ก่อน สีด้าน ดูเหมาะสมและเป็นธรรมชาติมากกว่าในสภาพที่แดดไม่ส่อง เมื่อไหร่แดดส่อง คุณถึงจะเลือกเครื่องสำอางค์ที่ส่องประกายมาท้าทายแสงแดด

คนไทยดื่มนมน้อยกว่าประเทศอื่นทั่วโลก 4-7 เท่า

คนไทยดื่มนมน้อยกว่าประเทศอื่นทั่วโลก 4-7 เท่า

คนไทยดื่มนมน้อยกว่าประเทศอื่นทั่วโลก 4-7 เท่า

www.voicetv.co.th
สนับสนุนเนื้อหา
กรมอนามัย เผยคนไทยดื่มนมน้อย เฉลี่ยคนละ 14 ลิตรต่อปี ต่ำกว่าประเทศในอาเซียนและทั่วโลก 4-7 เท่า ส่งผลต่อความสูง พร้อมหนุนให้เด็กดื่มนมจืดวันละ 2-3 แก้ว
นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการสำรวจการบริโภคของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรปี 2558 พบว่าคนไทยดื่มนมน้อยมาก เฉลี่ยคนละประมาณ 14 ลิตรต่อปี ขณะที่อัตราการดื่มนมในภูมิภาคอาเซียนเฉลี่ยคนละ 60 ลิตรต่อปี และทั่วโลกเฉลี่ย 103.9 ลิตรต่อปี หรือคนไทยดื่มนมน้อยกว่าประเทศในอาเซียนและโลก 4-7 เท่า ส่งผลให้เด็กไทยเมื่ออายุ 19 ปี ไม่สูง โดยชายสูงเฉลี่ย 169.5 ซม. หญิงสูงเฉลี่ย 157.7 ซม.
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวอีกว่า นมสดรสจืดมีคุณค่าทางโภชนาการดีกว่านมที่มีการปรุงแต่งด้วยน้ำตาลและกลิ่น เนื่องจากมีแคลเซียมในปริมาณมาก ช่วยสร้างกระดูก มีผลต่อความสูง ซึ่งจากสถิติเปรียบเทียบระหว่างนมโคสดแท้ นมรสหวาน นมเปรี้ยว 100 มิลลิลิตร พบว่า นมโคสดแท้จะให้สารอาหารที่จำเป็น ได้แก่ โปรตีน 3.3 กรัม แคลเซียม 122 มิลลิกรัม วิตามินเอ 38 ไมโครกรัม วิตามินบี 2 0.21 มิลลิกรัม
ในขณะที่นมปรุงแต่ง รสหวานกลับให้สารอาหารที่จำเป็นน้อยกว่าคือ โปรตีน 2.3กรัม แคลเซียม 101 มิลลิกรัม วิตามินเอ 38 ไมโครกรัม และวิตามินบี2 0.20 มิลลิกรัม
ทั้งนี้ การดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ร่วมกับการทำกิจกรรมทางกายที่มีการยืดตัว เช่น ว่ายน้ำ บาสเก็ตบอล และพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นการเพิ่มฮอร์โมนการเจริญเติบโตที่ส่งผลต่อการเพิ่มความสูงได้
นอกจากนี้ วัยผู้ใหญ่ที่ต้องการสารอาหารเพิ่ม แนะนำให้ดื่มนมสดรสจืดวันละ 1-2 แก้วส่วนผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ได้แก่ ภาวะอ้วน ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ควรดื่มนมชนิดพร่องมันเนยหรือขาดมันเนยเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะไขมันเกินดื่มวัน ละ 1-2 แก้ว

เทคนิคง่ายๆ ลงรองพื้นยังไงให้ให้หน้าผ่อง สาวๆ รู้แล้วต้องลอง!


เทคนิคง่ายๆ ลงรองพื้นยังไงให้ให้หน้าผ่อง สาวๆ รู้แล้วต้องลอง!

เทคนิคง่ายๆ ลงรองพื้นยังไงให้ให้หน้าผ่อง สาวๆ รู้แล้วต้องลอง!

สาวๆ ต่างรู้ดีว่าในการแต่งหน้าออกมาให้สวยสมบูรณ์แบบไม่ว่าลุคไหนๆ ก็จะขาดรองพื้นไปไม่ได้ เพราะเป็นไอเท็มที่ใช้ในการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน อีกทั้งยังช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสและช่วยปกปิดจุดบกพร่องต่างๆ บนใบหน้าที่ทำให้สาวๆ มีความมั่นใจมากขึ้น
แต่ทั้งนี้การจะลงรองพื้นให้ใบหน้าดูผ่องใสเปล่งประกายที่สุดนั้น อาจไม่ง่ายเลยสำหรับหลายๆ คน เราจึงนำเทคนิคในการลงรองพื้นแบบง่ายๆ มาฝากกันดังนี้ค่ะ

เทคนิคง่ายๆ ลงรองพื้นยังไงให้ให้หน้าผ่อง สาวๆ รู้แล้วต้องลอง!
ผสมลองพื้นกับไฮไลท์อย่างลงตัว
ผสมรองพื้นกับไฮไลท์ในปริมาณที่พอเหมาะ จากนั้นลงส่วนผสมลงบนผิวหน้าในส่วนของหน้าผาก,แก้ม,สันจมูก และคาง พร้อมเกลี่ยด้วยฟองน้ำให้เนียนสนิทกลืนไปกับผิว แต่ทั้งนี้จะต้องเลือกรองพื้นที่มีเนื้อบางเบา เพื่อให้สามารถผสมกับไฮไลท์ได้อย่างลงตัวที่สุด และแต่งแต้มลงบนใบหน้าได้อย่างเพอร์เฟ็กต์นั่นเอง
ผสมสีรองพื้นให้เข้ากับสีผิว
บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะหารองพื้นที่มีสีเข้ากันกับสีผิวได้อย่าง เป๊ะๆ ดังนั้นอาจใช้วิธีผสมรองพื้นสองสีเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้สีที่เป็นกลางๆ และเข้ากับสีผิวของสาวๆ มากที่สุด ซึ่งขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาสักหน่อย แต่เมื่อค้นพบสูตรที่ลงตัวแล้ว สาวๆ จะพบว่ามันคุ้มค่ามากทีเดียวกับความพยายามนี้

เทคนิคง่ายๆ ลงรองพื้นยังไงให้ให้หน้าผ่อง สาวๆ รู้แล้วต้องลอง!
ใช้แปรงในการลงรองพื้น
ผู้หญิงทั่ว ไปที่แต่งหน้าไปทำงานตอนเช้า มักละเลยที่จะใช้แปรงในการลงรองพื้น เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยากและเสียเวลา ทั้งๆ ที่การใช้แปรงลงรองพื้นจะทำให้ผิวหน้าสวยเนียนเรียบอย่างสมบูรณ์แบบ โดยให้เลือกใช้แปรงหัวกลมในการลงรองพื้นและฝึกใช้แปรงให้เคยชิน จะทำให้คุณใช้รองพื้นน้อยลงในการแต่งหน้าแต่ละครั้งและได้ความเรียบเนียนดู เป็นธรรมชาติมากกว่าอีกด้วย
ปกปิดริ้วรอยด้วยอายครีมก่อนเสมอ
ริ้วรอยบนใบหน้าเป็นสิ่งที่ทำให้การลงรองพื้นมีความยุ่งยาก เพราะรองพื้นมักจะตกเป็นคราบอยู่บริเวณริ้วรอยลึกของผิว ดังนั้นใช้อายครีมที่มีส่วนผสมในการเติมเต็มริ้วรอยลึกบนชั้นผิวทาบริเวณ ริ้วรอยลึกเหล่านี้ก่อน แล้วค่อยตามด้วยรองพื้น จะช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นกว่าเดิม แถมดูอ่อนเยาว์ลงด้วย
เทคนิคง่ายๆ เหล่านี้จะช่วยให้สาวๆ ลงรองพื้นได้อย่างเนียนสนิท ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้นจนใครๆ ก็ต้องหันมามองโดยเฉพาะมือใหม่ที่ยังไม่เคยชินกับการแต่งหน้ามากนัก เทคนิคเหล่านี้จะช่วยคุณได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ก่อนเลือกใช้ครีมรองพื้นตัวไหน ก็อย่าลืมทดสอบการแพ้ก่อนด้วยล่ะ เพื่อความปลอดภัยของใบหน้าคุณเอง

10 เรื่องที่หญิงสาววัย 30+ ควรรู้

10 เรื่องที่หญิงสาววัย 30+ ควรรู้

10 เรื่องที่หญิงสาววัย 30+ ควรรู้

          พอถึงวัย 20 ตอนปลายหลายๆ คนก็มักจะหวาดกลัวกับการต้องอายุขึ้นต้นด้วยเลข 3 แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนอยู่ในวัย 30 ขึ้นมาจริงๆ เรากลับพบว่าวัย 30 ช่างเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของหญิงสาว และไม่ใช่แค่เราที่รู้สึกไปเองคนเดียว เพราะในสหรัฐฯ ก็มีผลของการสอบถามผู้หญิง 2,000 คนทั่วประเทศ พวกเธอก็ให้คำตอบเช่นกันว่าช่วงเวลาที่สวยสะพรั่งที่สุดของพวกเธอคือวัย 30
          แต่พอได้อยู่ในเลข 3 แล้วหลายๆ คนก็อาจจะยังงงอยู่ว่าเอ้า! จากเลข 2 มาเป็นเลข 3 แล้วต้องไปอย่างไรต่อ เจอจุดพีคแล้วต้องทำอะไร เหมือนกับละครตอนจบที่เราได้เห็นพระนางได้อยู่ด้วยกัน แต่ไม่เห็นมีใครบอกต่อว่าแล้วเขาอยู่กันอย่างไร สบายดีไหม Sanook! Women ผู้ผ่านกาลเวลาเลยรวบรวมเอาเรื่องที่ควรรู้ของผู้หญิงวัย 30+ มาบอก จะได้เตรียมตัวเข้าสู่ช่วงเวลาที่เริ่ดที่สุดอย่างมีคุณภาพกัน

1. แค่เลข 3 ยังไม่ต้องรีบ!
          เราเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาของทุกคนไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย เมื่อเลข 3 ทุกคนจะกังวลคิดว่าฉันต้องรู้ทุกอย่างแล้ว ฉันต้องมีครอบครัวแล้ว ฉันต้องมีบ้าน ฉันต้องมีรถ พักก่อน ตั้งสติสักนิด คุณยังมีเวลาในชีวิตอีกตั้งมากให้ค้นหาสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ เชื่อสิ! ไม่ต้องล่กแล้วคำตอบทุกอย่างจะมาหาคุณเอง
2. หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
          ข้อนี้มีความสัมพันธ์กับข้อแรกเพราะหลายๆ คนที่รีบอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เนื่องจากชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนรอบข้างและมองข้ามสิ่งดีงามที่ตัว เองมีอยู่ การทำแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับใคร เราทุกคนล้วนมีความแตกต่างกัน สาว 30+ คุณภาพชีวิตดีจะต้องเลิกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้ แฮปปี้กับสิ่งที่มีอยู่นี่ล่ะดีที่สุด
3. เลือกอยู่กับความสุข
          ได้ยินสาวๆ หลายคนชอบบ่นเรื่องคนใกล้ตัวคนนั้นคนนี้แล้วกลัวผมหงอก ขึ้นแทน ช่วงเวลาสวยสะพรั่งแบบนี้จึงเหมาะมากที่จะคัดคนที่อยู่รอบตัวเรา หยุดเสียเวลากับคนที่คุณรู้สึกว่าไม่จริงใจกับคุณ ถ้าอยู่ใกล้ใครแล้วไม่แฮปปี้ ให้หาเวลาอยู่กับตัวเองบ้างหรือใช้เวลาอยู่กับคนที่ทำให้คุณมีความสุข เวลาทุกคนมีเท่ากันแต่อยู่ที่จะยอมเสียให้กับอะไรนะ


4. เรียนรู้ว่าทุกอย่างจะผ่านไป
          ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 30 ปีต้องเริ่มเรียนรู้แล้วนะว่าเมื่อเจอปัญหามาต้องทำอย่างไรบ้าง เวลาเจอเรื่องกลุ้มก็แค่คิดเสียว่าเป็นแค่อีกหนึ่งปัญหาที่ต้องผ่านไป เพราะวันที่ปัญหานั้นผ่านไปแล้วคุณก็สามารถที่จะกลับมายิ้มและมีความสุขอีก ครั้ง ไม่ค่ะ! อย่ากลับไปร้องไห้ นอนดิ้น เหมือนตอนเด็กๆ เวลาที่อะไรไม่เป็นไปอย่างใจ สาว 30 ผู้สตรวองอย่างเรา บุกน้ำ ลุยไฟ อย่างไรก็ไม่ตาย
5. ต้องเริ่มฉลาดเรื่องการเงิน
          วัยเลข 3 ถือเป็นช่วงระยะเวลาที่เราทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว หลายๆ คนได้เลื่อนตำแหน่ง ได้เงินเดือนขึ้นตามประสบการณ์ที่สั่งสม ดังนั้นเราต้องเริ่มฉลาดเรื่องการเงิน ควรเริ่มบริหารรายรับและรายจ่ายให้สมดุล เหลือเงินเก็บออมบ้างหรือจะเริ่มการลงทุนบ้างก็ได้ ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยลงเสียหน่อยเพื่อความมั่งคงในภายภาคหน้า

6. เลิกกลัวกับการอยู่คนเดียว
          เราเชื่อว่าทุกคนเป็นเหมือนกันสาววัย 30+ ผู้เป็นโสดจะต้องตัดชุดเพื่อนเจ้าสาวอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 ชุดต่อปี หรือต้องเผชิญกับหน้าฟีดบนโซเชี่ยลมีเดียที่มีแต่รูปลูกน้อยของเพื่อนๆ มองกระจกครั้งไหนก็มีแต่ตัวเรา โอ๊ย! ชีวิตไม่ได้รันทดขนาดนั้น ช่วงเวลาแห่งความโสดก็เป็นช่วงเวลาที่ดีได้ คิดดูสิได้ออกไปไหนแบบไม่ต้องรอใคร แต่งตัวสวยๆ ออกไปบริหารเสน่ห์ได้ทุกวัน มันน่ากลัวอย่างไรคะกับไลฟ์สไตล์โสด สวย เชิด เนี่ย!
7. ยอมรับในรูปร่างตัวเอง
          ก็ต้องยอมรับนะคะว่าวัย 30 รูปร่างไม่ได้เป็นเหมือนตอนวัยทีน แต่ยอมรับในที่นี้คือเรียนรู้หุ่นของตัวเอง อย่างถ้าเราเริ่มอวบไม่เหมือนตอนวัย 20 ต้นก็ต้องมาดูว่าเกิดจากอะไร เราแก้ปัญหาได้ไหม ไม่ว่าจะจากการแต่งตัวสไตล์ใหม่หรือออกกำลังกายให้กลับไปฟิตเหมือนเดิม หยุดประณามตัวเองว่าฉันไม่ดี ไม่สวยเอาเสียเลย เพราะทุกคนสวยค่ะ!

8. สังเกตเรื่องการเผาผลาญของตัวเองเสียหน่อย
          อย่าละเลยนะคะ เพราะวัย 30 เป็นช่วงที่การเผาผลาญในร่างกายของเราจะช้าลง อย่างที่หลายๆ คนเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างของตัวเองนี่ล่ะ เพราะฉะนั้นควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ใส่ใจเรื่องของดัชนีมวลรวมของร่างกาย (ที่เราชอบเอาน้ำหนักมาคำนวณกับความสูงนี่ล่ะ) จะได้เป็นประโยชน์ในการรับประทานอาหารและออกกำลังกาย
9. อย่าขาดเรื่องของการตรวจสุขภาพ
          ลิสต์หลักๆ ที่ควรตรวจเช็คก็ได้แก่ ตรวจวัดความดันเลือด วัดระดับคลอเรสเตอรอล ตรวจมะเร็งเต้านม ตรวจมะเร็งปากมดลูก ตรวจเช็คเหงือกและฟัน วัดระยะสายตา ตรวจผิวหนัง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งพื้นฐานที่เราต้องเริ่มใส่ใจตัวเอง เพราะเมื่อ 25 ขึ้นไปก็เริ่มมีความเสี่ยงต่างๆ เข้ามาแล้ว

10. ดูแลปรนนิบัติผิวของตัวเองบ้าง
          สาวๆ หลายๆ คนชอบละเลยเรื่องนี้ไปจึงปฏิบัติกับผิวเหมือนตอนช่วงวัยรุ่น อย่างการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ นอนดึก ไม่ใช้ครีมบำรุง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่นำพาริ้วรอยและความเหี่ยวย่นมาสู่ผิวของเรา ไม่ว่าจะผิวหน้าหรือผิวกาย ควรให้ความสำคัญและดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เริ่มนอนอย่างเป็นเวลา ลดปาร์ตี้บ้าง หันมาออกกำลังกายเสียหน่อย หลีกเลี่ยงการออกแดดแรงๆ และหมั่นบำรุงผิวด้วยครีมบำรุงผิวเป็นประจำ
          สำหรับใครที่ค่อนข้างจะขี้เกียจแบบเรา Sanook! มีตัวช่วยที่เห็นผลอย่าง Pond’s Age Miracle ที่มีส่วนผสมสำคัญอย่าง เรตินอลที่ช่วยซ่อมแซมและกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนให้ความยืดหยุ่นแก่ผิว หน้า รวมทั้งเรตินอลบูสเตอร์ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเรตินอล และช่วยกระตุ้นการเกิดของเซลล์ผิวใหม่ อีกทั้งยังมีส่วนผสมอื่นๆ เช่น AHA และ วิตามิน B3 ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำงานร่วมกัน ช่วยให้ริ้วรอยลดเลือนภายใน 2 สัปดาห์ ผิวดูอ่อนเยาว์ เปล่งปลั่ง จนใครๆ ก็ทักว่านี่น่ะสาว 30+++ จริงหรอ?
          สาววัย 30+ คนไหนอยากลองประสบการณ์ริ้วรอยลดเลือนใน 2 สัปดาห์ และสดใสอย่าง Sanook! Women ก็สามารถไปลงทะเบียนขอรับผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองใช้ได้กันแบบง่ายๆ ที่ https://pondsagemiracle.ponds.co.th/public/


          บอกสิ่งที่ควรรู้สำหรับดูแลทั้งจิตใจและร่างกายสาววัย 30+ กันอย่างหมดเปลือกขนาดนี้แล้วอย่าลืมนำเอาไปใช้และเป็นสาววัย 30+ สุดเจ๋งกันนะ!

ออกกำลังกายแบบไหนได้บ้างระหว่างตั้งครรภ์

ออกกำลังกายแบบไหนได้บ้างระหว่างตั้งครรภ์

ออกกำลังกายแบบไหนได้บ้างระหว่างตั้งครรภ์

ร.พ. พญาไท
สนับสนุนเนื้อหา
      คุณแม่ยุคใหม่ใส่ใจสุขภาพจะ รู้กันดีกว่า การออกกำลังกายนั้น ทำให้สุขภาพดีและช่วยให้อารมณ์ผ่อนคลายได้ และรู้หรือไม่ว่า... การออกกำลังกายยังมีประโยชน์สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก ลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นได้ดี และแน่นอนว่า ช่วยเพิ่มพลังความอึดเมื่อจะต้องออกแรงเบ่งคลอดได้อีกด้วย!! รู้อย่างนี้แล้ว อย่านิ่งนอนใจ มาดูกันดีกว่าว่าท้องแล้ว ออกกำลังแบบไหนได้บ้าง
      โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะแนะนำให้คุณแม่ออกกำลังกายได้ แต่ให้ลดความแรงและระยะเวลาในการออกกำลังจากที่คุณแม่เคยออกตามปกติก่อนท้อง ลง หรือเปลี่ยนวิธีออกกำลัง เช่น จากที่เคยวิ่ง เปลี่ยนมาเป็นการเดินแทน หรือบริหารร่างกายแบบง่ายๆ เบาๆ ระหว่างการทำกิจวัตรประจำวัน ก็ถือเป็นการออกกำลังกายได้เหมือนกันค่ะ แต่สำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาสุขภาพหรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังนะคะ
เตรียมตัวอย่างไร
    - เตรียมความพร้อมของร่างกาย ด้วยการหายใจเข้า-ออกช้าๆ ลึกๆ ก่อนออกกำลังซัก 1 นาที เพื่อช่วยให้เลือดทุกส่วนไหลเวียนได้ดี กล้ามเนื้อได้รับออกซิเจนเพียงพอ
    - เสื้อผ้าที่ใส่ออกกำลัง ควรใช้เนื้อผ้าที่เบาสบาย ไม่รัดรูปร่างและท้องคุณแม่จนเกินไป ไม่รุ่มร่ามรุ่ยร่ายจนทำให้เหยียบแล้วพลาดล้มได้ และใส่ยกทรงที่สามารถรองรับน้ำหนักเต้านมได้
    - การออกกำลังกายที่ต้องใช้รองเท้า ควรเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับกิจกรรมนั้นๆ มีแผ่นรองเท้ากันกระแทก
    - สถานที่ที่ใช้ออกกำลัง ควรมีอากาศถ่ายเท แต่ไม่ควรเป็นกลางแดดหรือร้อนเกินไป ควรเป็นที่โล่ง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ขวางเกะกะที่จะทำให้คุณแม่พลาดไปชนได้
    - ตัวช่วยอำนวยความสะดวกเหล่านี้ ควรวางไว้ใกล้ๆ เช่น ผ้าคาดผม น้ำดื่ม ผ้าขนหนูสำหรับซับเหงื่อ ยาดม เครื่องวัดชีพจร ฯลฯ
การออกกำลังที่คุณแม่สามารถทำได้
    การเดิน เป็นการออกกำลังที่ง่ายและประหยัดที่สุด เพราะไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ คุณแม่อาจจะเดินแบบตั้งใจหรือเดินเล่นในสวน วันละครึ่งกิโลเมตรก็ได้ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ซึ่งคุณแม่สามารถออกกำลังวิธีนี้ได้ไปจนถึงใกล้คลอดเลยทีเดียว
    โยคะ เป็นการออกกำลังที่ช่วยรักษาสมดุลของร่างกายกับการหายใจให้เป็นไปตาม ธรรมชาติ สามารถทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นและผ่อนคลายได้ดี ทั้งยังช่วยให้จิตสงบ และช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างคลอดได้ด้วย
    ว่ายน้ำหรือเต้นแอโรบิกในน้ำ เป็นกีฬาที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อทุกส่วนแข็งแรง และน้ำยังช่วยพยุงร่างกายของคุณแม่ให้ปลอดภัยจากแรงกระแทกต่างๆ ให้ความรู้สึกเป็นอิสระและผ่อนคลาย
    เต้นรำ คุณแม่เท้าไฟยังสามารถเต้นรำเป็นการออกกำลังได้นะคะ เพียงแต่ต้องลดจังหวะให้สโลว์ลงและลดลีลาไม่ให้ฉวัดเฉวียนมากนัก
    กายบริหารแบบยืดเส้นและขี่จักรยานอยู่กับที่ เป็นการออกกำลังที่ง่ายและปลอดภัยในแง่ของการเสี่ยงล้ม
การออกกำลังที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
    เช่น ซิทอัพ ทำท่าสะพานหก วิ่ง เล่นสกีทั้งทางบกและน้ำ ดำน้ำ ขี่ม้า ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิกบนพื้น ฯลฯ
สิ่งที่ควรทำ
     - คุณแม่ที่ไม่เคยออกกำลังมาก่อนท้อง ควรค่อยๆ เริ่มทำทีละน้อย, วอร์มอัพร่างกายก่อนออกกำลัง 5-10 นาที และคูลดาวน์หลังออกกำลังกาย 5-10 นาที
     - ควรใช้เวลาออกกำลังกายให้ต่อเนื่อง 20-30 นาที และออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
     - หยุดพักระหว่างออกกำลังบ่อยๆ จิบน้ำบ่อยๆ และดื่มน้ำมากๆ เมื่อเลิกออกกำลังกายแล้ว
     - ใส่นาฬิกาวัดชีพจรขณะออกกำลัง หรือคอยวัดชีพจร อย่างเกิน 140 ครั้งต่อนาที
สิ่งที่ไม่ควรทำ
    - ไม่ควรยืนนานเกินไป เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกน้อยลง และไม่ควรออกกำลังกายท่าก้ม
    - ไม่ควรออกกำลังจนถึงขั้นเหนื่อยหอบ เพราะจะทำให้ลูกในท้องขาดออกซิเจนไปด้วย
    - เมื่อเข้าไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ (เดือนที่ 4-6) ไม่ควรออกกำลังที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลัง และไม่ควรออกกำลังกายท่านอน เพราะมดลูกจะกดเส้นเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกน้อยลง
       สิ่งที่จะต้องระวัง คือ คุณแม่ต้องสังเกตความผิดปกติต่างๆ ของตัวเองทั้งระหว่างและหลังออกกำลัง ควรหยุดการออกกำลังกายเมื่อมีอาการหน้ามืด เป็นลม, ปวดศีรษะ, หายใจลำบากหรือเจ็บหน้าอก, หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ, ปวดท้อง, มีเลือดออกหรือมีน้ำเดิน, รู้สึกเดินลำบาก หรือเด็กดิ้นน้อยลง และพบแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้น

การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพในช่วงตั้งครรภ์


การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพในช่วงตั้งครรภ์

การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพในช่วงตั้งครรภ์

th.theasianparent.com
สนับสนุนเนื้อหา
อาหารการกินถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะมีผลต่อคุณภาพชีวิตของทั้งคุณแม่ และลูกน้อยไม่เฉพาะแค่ในวันนี้ แต่หมายถึงคุณภาพชีวิตในวันข้างหน้าด้วย เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีบทบาทมากที่สุดในการกำหนดพื้นฐานสุขภาพที่ดีในทุกๆ ด้าน
เพื่อให้ลูกมีสุขภาพสมบูรณ์ พัฒนาการสมวัย และตัวคุณแม่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยตลอดทั้ง 9 เดือน จึงต้องใส่ใจเรื่องอาหารกันเป็นพิเศษ ทีมงานดิเอเชี่ยนพาเร้นท์ จึงขอนำเคล็ดลับการทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพในช่วงตั้งครรภ์มาฝาก เพื่อเป็นแนวทางให้คุณแม่เลือกรับประทานอาหาร ดังนี้ค่ะ
- เลือกทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ และในแต่ละหมู่ให้หลากหลาย

- ทานอาหารให้ตรงเวลา และไม่มากจนเกินไป โดยแบ่งออกเป็นมื้อหลัก 3 มื้อ และมื้อว่าง 2-3 มื้อ

- เน้นเมนูผักเป็นหลัก เพราะมีใยอาหาร ช่วยเรื่องการย่อย การขับถ่าย และต้านอนุมูลอิสระ ทั้งนี้ ควรทานผักให้ครบทุกสี ไม่ว่าจะเป็นผักบุ้ง ผักคะน้า แครอท ฟักทอง ผักกาดขาว มะเขือเทศ กะหล่ำปลีม่วง ฯลฯ เพื่อให้ได้แร่ธาตุและวิตามินอย่างครบถ้วน

- เพราะช่วงตั้งครรภ์ต้องใช้พลังงานมากขึ้น จึงควรทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและไขมันที่มีประโยชน์ที่ไม่ทำให้น้ำหนัก เพิ่มมากเกินไป เช่น ข้าวซ้อมมือ ก๋วยเตี๋ยว ไขมันจากพืชหรือปลา ปลาที่มีไขมันสูงจะได้รับ ดีเอชเอ อีพีเอ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ถั่วชนิดต่างๆ ธัญพืช อโวคาโด เมล็ดทานตะวัน


- โปรตีนก็สำคัญ นอกจากจะช่วยให้สมองและเนื้อเยื่อของลูกเจริญเติบโตดีแล้ว ยังทำให้มดลูกและเต้านมของคุณแม่แข็งแรงอีกด้วย ดังนั้น จึงควรทานเนื้อสัตว์ให้ครบทั้ง หมู เนื้อ ไก่ ปลา รวมถึงไข่ นม นมถั่วเหลือง เป็นประจำทุกวัน

- เพื่อเสริมสร้างกระดูก และป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน ควรเลือกทานอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียมจากนม ปลาเล็กปลาน้อยที่ทานได้ทั้งก้าง กุ้งแห้ง และงาดำ ฯลฯ

- หมั่นทานผลไม้หลากหลายชนิด และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะทำให้รู้สึกสดชื่น ท้องไม่ผูก และผิวพรรณสดใสไม่แห้งแตกง่าย

- ไม่ควรทานอาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป แปรรูปต่างๆ เพราะมีส่วนผสมของผงชูรส เกลือ และสารกันบูดทั้งยังทำให้ท้องอืด อาหารย่อยได้ไม่ดีอีกด้วย

- ควรจำกัดการทานของหวาน และเบเกอรี่ต่างๆ เพื่อไม่ให้น้ำหนักเพิ่มมากเกินไป และลดภาวะเสียงต่อการเกิดภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์

- ควรลดการดื่มชา กาแฟให้น้อยลง เพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นระบบประสาทให้นอนไม่หลับ หากเป็นไปได้ควรงดดื่มเลยจะดีกว่า เพื่อประโยชน์ทั้งต่อตัวคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์

- หากเกิดอาการแพ้ท้อง ให้จิบน้ำขิงบ่อยๆ หรือทานขนมปังกรอบ ซีเรียลแท่งเล็กๆ จะช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ดี
ถ้าไม่มั่นใจว่าได้สารอาหารครบถ้วนหรือไม่ ให้สอบถามคุณหมอเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่จำเป็น ไม่ควรหาซื้อ วิตามินหรืออาหารเสริมมาทานเอง
เพราะช่วงตั้งครรภ์คือช่วงเวลาที่วิเศษที่สุด คุณแม่จึงควรใส่ใจเรื่องอาหารให้ดีเป็นพิเศษ เพื่อประโยชน์ทั้งต่อตัวคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ที่สมบูรณ์นั่นเอง

EARTHs - The Treasure of Beauty เจลอาบน้ำผสมไวน์แดงและสปาร์คกลิ้งไวน์


EARTHs - The Treasure of Beauty เจลอาบน้ำผสมไวน์แดงและสปาร์คกลิ้งไวน์

EARTHs - The Treasure of Beauty เจลอาบน้ำผสมไวน์แดงและสปาร์คกลิ้งไวน์

PR News
สนับสนุนเนื้อหา
EARTHs - The Treasure of Beauty ขอแนะนำ 2 ผลิตภัณฑ์เจลอาบน้ำ
ผสมไวน์แดงและสปาร์คกลิ้งไวน์ บำรุงผิวกาย กลิ่นหอมเย้ายวนใจ
Earths Pink Bubble Bath Gel และ Earths Cabernet Sauvignon Bath Gel
EARTHs (เอิร์ธส) ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวสวยสมบูรณ์แบบด้วยสารสกัดธรรมชาติจากทุกมุมโลกในแบรนด์เดียว ขอแนะนำ Earths Pink Bubble Bath Gel เจลอาบน้ำ ชำระล้างสิ่งสกปรก พร้อมบำรุงผิวด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ  มีส่วนผสมของ Grape Stem Cell Extract อุดมด้วย Anti-oxidant ปกป้องผิวจากการถูกทำลายจากรังสี UV ช่วยทำให้ผิวแข็งแรง มาพร้อมคุณค่าจาก Mulberry Extract ยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน สาเหตุของผิวหมองคล้ำ ผิวจึงดูกระจ่างใส และ เบทาอีน (Betaine) ที่อุดมด้วย  กรดอะมิโน ( Amino acid ) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดอาการระคายเคืองต่อผิว ให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น ขาวสดใส ดูมีชีวิตชีวา (ขนาด 380 มล. ราคา 555 บาท)
Earths Cabernet Sauvignon Bath Gel เจลอาบน้ำไวน์แดง  เนื้อเจลสีม่วงอมแดง กลิ่นหอมสดชื่น ส่วนผสมจากสารสกัดเซลล์ต้นกำเนิดจากองุ่น อุดมด้วยสาร Anti-oxidant จากธรรมชาติ ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ Mulberry Extract ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ร่วมด้วยสารสกัดจากดอก Tropaeolum Majus ที่ช่วยพาออกซิเจนไปเลี้ยงผิว ให้ผิวดูมีสุขภาพดี (ขนาด 380 มล. ราคา 555 บาท)

สนใจผลิตภัณฑ์และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เคาน์เตอร์ EARTHs ทุกสาขา ได้แก่ เซ็นทรัล พลาซ่า แจ้งวัฒนะ ชั้น G ใกล้ลานโปรโมชั่น,เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ชั้น 3 ฝั่งลานจอดรถ,เซ็นทรัล พระราม 2 ชั้น 1 ฝั่งพลาซ่า,เซ็นทรัล พระราม 9 ฝั่งพลาซ่า,ซีคอน สแควร์ ศรีนครินทร์ ชั้น G ฝั่งโลตัส,ฟิวเจอร์ ปาร์ก รังสิต ชั้น 1 ฝั่งลานจอดรถ,เดอะ ซีน ทาวน์ อิน ทาวน์ ชั้น 1 ใกล้แม็กซ์แวลู,เดอะ มอลล์ งามวงศ์วาน ชั้น 2 ตรงข้ามน้ำตก,สยาม พารากอน ชั้น G ฝั่ง Canal Zone,พาราไดซ์ ปาร์ก ศรีนครินทร์ ชั้น G, เดอะ วอล์ก เกษตร-นวมินทร์ ชั้น 1 ฝั่งแม็กซ์แวลู,เดอะ มอลล์ บางกะปิ ชั้น 2,โลตัส บางใหญ่ ชั้น 1 ทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต,เดอะ มอลล์ บางแค ชั้น 2 ฝั่งพลาซ่า สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Customer Relationship โทร. 0-2960-1399 www.earths.co.th , Online store: www.earthszone.com , Facebook.com/EARTHs.Shop

เปลี่ยนหลุมสิว...ให้เป็นเรื่องสิวๆ ของคนทุกวัย

เปลี่ยนหลุมสิว...ให้เป็นเรื่องสิวๆ ของคนทุกวัย

เปลี่ยนหลุมสิว...ให้เป็นเรื่องสิวๆ ของคนทุกวัย

ร.พ. พญาไท
สนับสนุนเนื้อหา
         ใครๆ ก็อยากมีใบหน้ากระจ่างใส แต่ถ้าหากฮอร์โมนเพศ ความสกปรก หรือมลภาวะกระตุ้นให้เม็ดสิวผุดขึ้นบนใบหน้า ซ้ำยังทิ้งร่องรอยหลุมสิวไว้ให้ดูต่างหน้าแล้วละก็ ไม่ต้องกังวลว่ารักษาไม่หาย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง โรงพยาบาลพญาไท 2 อินเตอร์เนชันแนล มีวิธีรักษาหลุมสิว โดยวิธี Fraxel Restore หรือเลเซอร์รักษาหลุมสิวมาแนะนำ ก่อนอื่น ต้องทราบชนิดของหลุมสิวบนใบหน้าก่อน
              Ice Pick Scar - รอยหลุมจิกลึกขอบแคบ มักไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษานัก เนื่องจากปัญหาค่อนข้างลึก
Box Car Scar - รอยหลุมกว้างใหญ่ขอบด้านบนและฐานหลุม ขนาดใกล้เคียงกันเป็นทรงตรงลึกลงไป เป็นลักษณะหลุมสิวที่รักษาได้ค่อนข้างยากเช่นกัน
Rolling Scar - รอยหลุมโค้ง คล้ายกะทะ ตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าหลุมสิวประเภทอื่นข้างต้น
เลเซอร์แก้หลุมสิว ทางลัดง่ายๆ ที่เห็นผล
        หลุมสิวเป็นปัญหาที่พบตามหลังการเกิดสิวอักเสบ ภายหลังขบวนการอักเสบเสร็จสิ้น เป็นขั้นตอนธรรมชาติในการซ่อมแซมผิวที่ทำให้เกิดคอลลาเจนผิดปกติ เกิดพังผืดใต้ผิว ทำให้เห็นเป็นหลุมสิวตามมา
        คนส่วนใหญ่คิดว่าการเกิดหลุมสิว มาจาก การที่เป็นสิว แล้ว บีบ เค้น แกะ มากเกินไปจนเป็นแผล สาเหตุดังกล่าวถูกต้องส่วนหนึ่งส่วนหนึ่งแต่การปล่อยไว้ให้เป็นสิวอักแสบ มากๆ แล้วไม่รักษา โดยเฉพาะที่เป็นเหมือนซีสต์ใต้ผิว ถึงแม้ไม่ผ่านการบีบเค้นใด ก็สามารถพบหลุมสิวเกิดขึ้นมาในภายหลังได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นเราจึงควรใส่ใจดูแลรักษาสิวตั้งแต่เนิ่นๆ ที่เริ่มเป็น หรือหากลองทายารักษาแล้วยังไม่ดีขึ้น ยังคงมีสิวอักเสบมากแนะนำให้มาปรึกษาแพทย์ เนื่องจากหากปล่อยไว้จนเป็นมากอาจเกิดปัญหาตามมาได้
ชนิดของหลุมสิวมี 3 ประเภท
- Ice Pick Scar เป็นลอยหลุมจิกลึก ขอบแคบ มักไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษานัก เนื่องจากปัญหาค่อนข้างลึก
- Box Car Scar เป็นรอยหลุมกว้างใหญ่ขอบด้านบนและฐานหลุม ขนาดใกล้เคียงกันเป็นทรงตรงลึกลงไป เป็นลักษณะหลุมสิวที่รักษาได้ค่อนข้างยากเช่นกัน
- Rolling Scar เป็นรอยหลุมโค้ง คล้ายกะทะ ตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าหลุมสิวประเภทอื่นข้างต้น
การป้องกันการเกิดหลุมสิว
        ประเด็นสำคัญคือ ห้ามแคะ แกะ เกา บีบ เค้น เวลาเป็นสิวอักเสบ เนื่องจากเพิ่มโอกาสในการเกิดแผลเป็นหลุมสิวให้มากขึ้น และไม่ควรปล่อยให้เป็นสิวอักเสบจนรุนแรงมาก หากดูแลรักษาเบื้องต้นเองแล้วยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้รีบมาปรึกษาแพทย์
        สำหรับการรักษาหลุมสิว ผลตอบสนองต่อการรักษาขึ้นกับประเภทของหลุมสิวและเครื่องมือที่นำมาใช้ร่วมใน การรักษา โรงพยาบาลพญาไท 2 อินเตอร์เนชันแนล ได้มีการนำ “Fraxel Restore” ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่ช่วยในการแก้ปัญหาหลุมสิวแผลเป็นต่างๆ เช่น รอยแตกลายหลังคลอด แผลเย็บจากการผ่าตัดแผลจากอุบัติเหตุต่างๆ มาช่วยในการรักษาปัญหาหลุมสิวของผู้ป่วย
       ซึ่งสามารถกำหนดความลึกได้หลายระดับตามปัญหาของคนไข้ในแต่ละราย เพื่อให้ได้ผลการรักษาสูงสุด หลังรักษาหลุมสิวจะค่อยๆ ตื้นและผิวหน้าโดยรวมจะเรียบเนียนใสขึ้น ระยะห่างในการรักษาแต่ละครั้งประมาณ 4-6 สัปดาห์ และหากเป็นหลุมสิวแบบลึกมากอาจมีการใช้เข็มเซาะช่วยเลาะตัดพังผืดออกไปร่วม ด้วย (Subcision) หลังทำอาจเป็นรอยซ้ำจากการกระทบกระเทือนใต้ผิว
       แต่สามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ทั้งหมดของการรักษา แนะนำให้คนไข้หมั่นใส่ใจทำการดูและรักษาสิวควบคู่กันไปด้วยเพราะปัญหาของคน ที่เป็นหลุมสิวมักเกิดจากการเป็นสิวมายาวนาน เป็นๆ หายๆ บ่อย หากไม่แก้ที่ต้นเหตุให้ดี ย่อมไม่เจอผลปลายทางที่ดีได้เช่นกัน

5 วิธีสร้างสุขภาพดีในผู้สูงอายุ

สำหรับใครที่มีผู้สูงอายุให้คอยดูแลเอาใจใส่ การพยายามหาวิธีสร้างสุขภาพดี ให้แก่พวกเขา ถือเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างสบาย โดยไร้กังวลอาการเจ็บป่วยต่างๆ ว่าแล้วลองตามไปดูวิธีสร้างสุขภาพดีให้แก่ผู้สูงอายุกันเลยดีกว่า
5 วิธีสร้างสุขภาพดีในผู้สูงอายุ
5 วิธีสร้างสุขภาพดีในผู้สูงอายุ
1.งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
ไม่ว่าจะเป็น บุหรี่ เหล้า และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทำให้เกิดความมึนเมาทุกชนิด เป็นสิ่งที่คุณจะต้องให้อยู่ห่างจากผู้สูงอายุ เพราะหากคุณสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้จากพวกเขาได้ แน่นอนว่ามันจะช่วยลดโอกาสที่จะทำให้เกิดโรค และความดันของโรคได้เป็นอย่างดี แถมยังเป็นตัวช่วยทำให้คุณสามารถลดค่าใช้จ่ายในเรื่องการรักษาและช่วย ป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุต่างๆ ได้อีกด้วย
2.เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์
สำหรับผู้สูงอายุแล้ว อาหารที่พวกเขาต้องบริโภคคือ อาหารที่ให้แคลเซียม สังกะสี และเหล็ก ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะอุดมอยู่ในนมถั่วเหลือง ผลไม้ ผัก และธัญพืชต่างๆ ที่สำคัญควรให้ทานอาหารที่ผ่านวิธีการต้ม นึ่ง อบ และย่าง เพราะจ่วยลดปริมาณไขมันในอาหารได้ นอกจากนี้ควรให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด และหมั่นให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
5 วิธีสร้างสุขภาพดีในผู้สูงอายุ
5 วิธีสร้างสุขภาพดีในผู้สูงอายุ
3.หมั่นออกกำลังกาย
หากผู้สูงอายุที่คุณกำลังดูแลอยู่นั้นไม่มีโรคประจำตัวใดๆ แนะนำให้คุณชวนพวกเขามาออกกำลังกายแบบแอโรคบิคประมาณ 30 นาที หมั่นออกกำลังกายประมาณสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือดภายในร่างกายเป็นอย่างมาก
4.สัมผัสอากาศที่บริสุทธิ์
แน่นอนว่าอากาศที่บริสุทธิ์นั้นจะมีส่วนช่วยลดการเกิดโรคได้ ดังนั้นเพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ คุณควรหมั่นพาพวกเขาได้ออกไปสัมผัสกับอากาศที่บริสุทธิ์บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นในสวนสาธารณะที่ปลอดจากฝุ่น หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยต้นไม้ โดยสถานที่ที่เลือกนั้นควรเป็นสถานที่ที่ให้ความสะอาด อากาศสดชื่น และไม่มีสิ่งสกปรกรายล้อม
5 วิธีสร้างสุขภาพดีในผู้สูงอายุ
5 วิธีสร้างสุขภาพดีในผู้สูงอายุ
5.เลือกใช้ยาที่เหมาะสม
เป็นเรื่องปกติที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ไม่ค่อยอยากไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพราะหลายคนเลือกที่จะซื้อยามาทานเอง โดยยาแต่ละชนิดที่เลือกซื้อมาทานนั้น ก็ล้วนเป็นยาที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่างๆ ตามมาได้ ดังนั้นจึงควรควบคุมและหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาได้ใช้ยาจากการซื้อมาทานเอง หากมีโรคภัยไข้เจ็บก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา จะมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยได้มากกว่า
เพื่อการมีสุขภาพที่ดีของผู้สูง อายุที่คุณรัก การใส่ใจในเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกาย ถือเป็นเรื่องเบสิคที่คุณสามารถทำได้ดี แถมยังเป็นเรื่องเบสิคที่มีความสำคัญอย่างมากอีกด้วย

หน้าขาวใสในราคาประหยัดกับสูตรพอกหน้าเพื่อผิวขาว

ในยุคที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำ เรื่องความสวยความงามใช่ว่าจะถูกละเลยจากความสนใจของสาวๆ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิง ย่อมต้องให้ความสำคัญในเรื่องความงามเป็นธรรมดา แต่จะดีกว่าไหมหากคุณมีวิธีการทำให้ผิวหน้าสวยใส ด้วยวิธีการประหยัดที่แทบไม่ต้องลงทุนอะไรมากมายนัก
หน้าขาวใสในราคาประหยัดกับสูตรพอกหน้าเพื่อผิวขาว
หน้าขาวใสในราคาประหยัดกับสูตรพอกหน้าเพื่อผิวขาว
พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล
สำหรับวิธีพอกหน้าเพื่อให้ผิวขาวด้วยแอปเปิ้ล ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่คุณนำแอปเปิ้ลมาล้างด้วยน้ำสะอาด จากนั้นคว้านเอาไส้และเมล็ดออกให้หมด นำมาบดแอปเปิ้ลจนเป็นเนื้อละเอียด ในขณะที่กำลังบดแอปเปิ้ลอยู่นั้นให้เติมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อน้ำผึ้งและเนื้อแอปเปิ้ลเข้ากันดี ก็ให้นำส่วนผสมที่ได้มาพอกหน้าทิ้งไประมาณ 20 นาที แล้วจึงค่อยเช็ดออกด้วยนมสดที่แช่เย็นเอาไว้
หน้าขาวใสในราคาประหยัดกับสูตรพอกหน้าเพื่อผิวขาว
หน้าขาวใสในราคาประหยัดกับสูตรพอกหน้าเพื่อผิวขาว
พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว
สำหรับการพอกหน้าเพื่อให้มีผิวขาวด้วยนมเปรี้ยวนั้น เริ่มจากการให้คุณเตรียมนมเปรี้ยวไปแช่เย็นเสียก่อน แล้วจึงนำนมเปรี้ยวมาพอกหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นให้นำผ้าเช็ดหน้าที่มีความนุ่มมาเช็ดออก ก็เป็นอันเสร็จ ในส่วนของสูตรพอกหน้าที่ใช้นมเปรี้ยวนั้น นอกจากจะช่วยในเรื่องของผิวขาวแล้ว มันยังมีส่วนช่วยในการลดความมันบนใบหน้าได้อีกด้วย
หน้าขาวใสในราคาประหยัดกับสูตรพอกหน้าเพื่อผิวขาว
หน้าขาวใสในราคาประหยัดกับสูตรพอกหน้าเพื่อผิวขาว
พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ
ในส่วนของวิธีการทำส่วนผสมเพื่อนำมาพอกหน้าให้มีผิวขาวด้วย มะเขือเทศนั้น ให้คุณนำมะเขือเทศมาล้างให้สะอาด จากนั้นให้ฝานมะเขือเทศให้มีความหนาพอประมาณ นำมาถูให้ทั่วบริเวณใบหน้า และอย่าลืมเลื่อนมือลงไปถูในบริเวณลำคอด้วย เพราะบริเวณนี้ถือเป็นบริเวณที่มีสิวเสี้ยนเป็นจำนวนมาก สูตรพอกหน้าด้วยมะเขือเทศจะให้ผลลัพธ์ที่ดีจริงอย่างแน่นอน เพราะมะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินซีและกรด AHA ที่มีส่วนในการลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เสร็จจากการถูใบหน้าและลำคอด้วยมะเขือเทศแล้ว ต่อไปก็ใช้สำลีชุบน้ำเย็น นำมาเช็ดเศษมะเขือเทศที่ติดอยู่บนใบหน้าและลำคอให้สะอาดหมดจด ถือเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
หน้าขาวใสในราคาประหยัดกับสูตรพอกหน้าเพื่อผิวขาว
หน้าขาวใสในราคาประหยัดกับสูตรพอกหน้าเพื่อผิวขาว
พอกหน้าด้วยสูตรไข่ขาว
วิธีนี้อาจเป็นวิธีที่สาวๆ คุ้นเคยกันดี แต่สำหรับสาวๆ ที่ยังไม่เคยรู้มาก่อน ให้เตรียมไข่ไก่ 1 ฟอง จากนั้นแยกไข่แดงและไข่ขาวออกจากกัน นำไข่ขาวมาตีด้วยช้อนส้อม จนไข่ขาวเป็นฟอง จากนั้นนำแปรงที่มีขนนุ่มจุ่มลงไปในไข่ขาวที่เตรียมไว้ ทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะรู้สึกว่าไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็งบนใบหน้า จึงล้างออกด้วยน้ำเย็นให้สะอาดหมดจด
อยากมีผิวหน้าขาวใส ไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรมากมายนัก เพียงแค่นำวัตถุดิบที่มีอยู่ในตู้เย็นมาทำเป็นสูตรพอกหน้าขาว แค่นี้ก็เป็นอันได้ผลแล้วค่ะ

หมอแนะ!!ดูดนมแม่ช่วยให้ลูกฟันสวย

หมอแนะ!!ดูดนมแม่ช่วยให้ลูกฟันสวย

หมอแนะ!!ดูดนมแม่ช่วยให้ลูกฟันสวย

th.theasianparent.com
สนับสนุนเนื้อหา
นมแม่นอก จากจะช่วยเสริมภูมิต้านทานให้แก่ทารกแรกเกิดแล้ว การดูดนมแม่ยังมีส่วนสำคัญช่วยให้เจ้าหนูมีพื้นฐานฟันสวยอีกด้วยนะคะ จะดีอะไรขนาดนั้น!!! ติดตามอ่าน ดูดนมแม่ช่วยลูกฟันสวย ตามมาเลยค่ะ
องค์การอนามัยโลก : นมแม่
องค์กรอนามัยโลกกำหนดให้แม่ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ใน 3 ระยะ ที่สำคัญ คือ
ระยะที่ 1 คือ แรกเกิด – 6 เดือนหลังคลอด ให้ลูกกินนมแม่เพียงอย่างเดียว
ระยะที่ 2 คือ หลังจาก 6 เดือน ทารกสามารถกินนมแม่และเสริมอาหารให้แก่ทารกได้
ระยะที่ 3 คือ หลังจาก 1 ปีไปแล้ว แม้ว่าลูกจะทานอาหารครบ 3 มื้อให้กินนมแม่เป็นอาหารเสริมไปจนครบ 2 ปี
จะเห็นได้ว่า องค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญกับการเลี้ยงทารกด้วยนมแม่ แม้แต่งานวิจัยที่มีออกมามากมายถึงคุณประโยชน์ของนมแม่ นอกจากภูมิต้านทานที่ได้รับ สายใยรักระหว่างแม่ลูกแล้ว ทารกดูดนมแม่ยังช่วยให้เจ้าหนูมีฟันสวย อีกทั้งช่วยลดภาวะฟันไม่สบกันอีกด้วย

หมอแนะ!!ดูดนมแม่ช่วยให้ลูกฟันสวย
 แพทย์หญิงยุพยงค์ แห่งเชาวนิช เลขาธิการมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวถึง นมแม่ช่วยเพิ่มไอคิว และยังเป็นแหล่งอาหารที่สร้างภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงพัฒนาการของช่องปากที่ดีของลูก
จากงานวิจัยในต่างประเทศ โดย Karen Glazer Peres และคณะศึกษาว่า การดูดนมแม่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของช่องปาก โดยวิจัยจากทารกกว่า 27,000 ราย พบว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะฟันไม่สบกัน (Malocclusion) คือ ลักษณะของฟันแท้ที่มีการจัดเรียงผิดปกติอาจเกิดการซ้อนทับกัน ฟันยื่นไปข้างหน้า ฟันยื่นเข้าลึก ฟันห่างกัน เป็นต้น ทำให้เกิดลักษณะการจัดเรียงตัวของฟันไม่สวยงาม ซึ่งจะเกิดขึ้นในระยะฟันน้ำนม และระยะฟันผสมระยะแรก

การดูดนมแม่ช่วยให้ลูกฟันสวย ได้อย่างไร
แพทย์หญิงยุพยงค์ แห่งเชาวนิช กล่าวถึงข้อมูลจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Acta Paediatrica เกี่ยวกับการดูดนมของทารกที่มีผลต่อดีสุขภาพช่องปาก สรุปได้ดังนี้
1. ลักษณะการดูดนมแม่ของทารกทำให้กล้ามเนื้อช่องปากของเจ้าหนูมีความแข็งแรง ธรรมชาติการดูดนมจากเต้า ทารกจะอมหัวนมจนถึงส่วนลานนม และดูดแบบบีบรูด (Peristalsis)
2. การดูดแบบบีบรูด (Peristalsis) คือ การที่ทารกใช้ลิ้นบีบนวดส่วนที่เป็นลานนมซึ่งมีท่อน้ำนมเป็นจำนวนมาก จึงทำให้กล้ามเนื้อในช่องปากทุกส่วนเกิดการเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ
3. เต้านมของแม่มีความอ่อนนุ่มตามธรรมชาติจึงไม่มีผลต่อการกดหรือดันเหงือกรวมถึงเพดานปากของลูก
ลักษณะการดูดนมขวดของทารกที่มีผลสุขภาพช่องปาก
1. ในขณะที่ทารกดูดนมจากจุกขวดนมผสม เจ้าหนูน้อยจะใช้แรงดูดในลักษณะของการออกแรงดูด (Sucking) โดยใช้เหงือกกัดจุกนม และใช้ลิ้นกดช่องจุกนมไว้ พร้อมกับการบีบตัวของกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม เพื่อให้เกิดภาวะสุญญากาศในช่องปาก ให้น้ำนมไหลออกจากขวดนมได้ ที่สำคัญ หัวนมปลอมที่ใช้มักมีลักษณะแข็ง ไม่ยืดหยุ่นจึงส่งผลต่อการหลุดของฟันน้ำนม และการจัดเรียงตัวของฟันแท้ต่อไป
2. การดูดนมผสมจากขวดจึงทำให้เกิดแรงบีบที่ขากรรไกรบน มีผลทำให้โค้งเพดานปากด้านบนมีการขยายตัวผิดปกติ และนำไปสู่ทำให้เกิดการซ้อนทับ หรือไม่สบกันของฟันชุดแรก รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการเกิดการสบฟันที่ผิดปกติได้
เรื่องน่ารู้ : ผลเสียจากการใช้จุกนม มีผลทำให้ฟันยื่น
แผนกทันตกรรม โรงพยาบาลพญาไท ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ จุกนมยาง ไว้ว่า จุกนมเป็นลักษณะหัวนมที่ทำด้วยยาง พ่อแม่หลายท่านนิยมให้เด็กดูดเพื่อให้เลิกร้องไห้หรือกวนโยเย แต่ทางทันตแพทย์ไม่แนะนำให้ใช้ เนื่องจากเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดีแก่เด็ก ถ้าเด็กติดนิสัยนี้แล้วจะเลิกยาก
จะมีผลทำให้ฟันหน้าบนยื่น ฟันล่างหลุบเข้าไปในปาก ในบางคนอาจมีฟันหน้าไม่สบกันเลย ซึ่งจะมีผลต่อใบหน้าและบุคลิกภาพไม่สวยงาม ทำให้ระบบการบดเคี้ยว ไม่ดี และระบบย่อยอาหารก็ไม่ดีเช่นกัน จึงควรพยายามเลิกการใช้จุกนม
เรื่องของนมแม่ พูดกันอย่างไรก็มีแต่ข้อดีทั้งนั้น ส่งผลดีแม้กระทั่งสุขภาพฟันของลูก เมื่อได้ทราบข้อดีเช่นนี้แล้ว หากคุณแม่ต้องการให้ลูกมีสุขภาพฟันที่ดีและมีฟันสวยต่อไป ดูดนมแม่ช่วยได้ค่ะ
ร่วมบอกเล่าและแชร์ประสบการณ์ในช่วงตั้งครรภ์ คลอดบุตร รวมถึงการเลี้ยงดูทารกน้อย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวอื่น ๆ กันนะคะ หากมีคำถามหรือข้อสงสัย ทางทีมงานจะหาคำตอบมาให้คุณ

10 เรื่องขำๆ ที่หญิงไทยควรรู้ก่อนเที่ยวฮ่องกง

10 เรื่องขำๆ ที่หญิงไทยควรรู้ก่อนเที่ยวฮ่องกง

10 เรื่องขำๆ ที่หญิงไทยควรรู้ก่อนเที่ยวฮ่องกง

ถ้าพูดถึง ประเทศฮ่องกง สำหรับสาวๆ อย่างเราคงจะไม่พ้นเรื่องช้อปปิ้งและการไหว้พระขอพร ที่ใครได้ไปที่นั้นแล้วในแพลนจะต้องมีโปรแกรมนี้อยู่แน่นอน ว่าแล้วแพลนในการเที่ยวต่างประเทศครั้งนี้จึงเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤษ ภา ในอากาศประมาณ 26 องศา ใกล้เข้าฤดูร้อนเต็มที่
หลังจากกลับมาจากการเที่ยวฮ่องกงครั้งนี้ ลูกเกดจะแชร์ประสบการณ์อะไรที่หญิงไทยควรรู้ก่อนบินตรงไปเที่ยวฮ่องกง ตามมาลุยกันเลย 

1. ด่านตรวจคนเข้าเมืองหรือที่เรียกติดปากว่า ตม. ไม่ได้เข้าง่ายอย่างที่คิด
เนื่องจากมีคนไทยหนีเข้าประเทศมากขึ้นกว่าเดิม การแต่งตัว แต่งหน้าจึง เป็นสิ่งสำคัญที่สาวๆ ควรจะแต่งแบบเบาๆ อย่าเพิ่งจัดเต็มไปมาก ลูกเกดเองไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่า ตม. ที่นี้เค้าตรวจเข้มขึ้น จัดเสื้อสีแสบตา แต่งหน้าจัดเต็มตั้งแต่แลนดิ้งลงเครื่อง โดนถามอยู่นานว่า มากี่วัน มากับใคร ถามอีกว่าทำไมเราไม่มีปั๊บจากเมืองไทย เราต้องอธิบายว่าระบบการตรวจคนของตม.ที่ไทย มีทั้งแบบอัตโนมัติและแบบปกติ งานนี้เรียกว่าถามกันอยู่นานกว่าจะปล่อยให้ผ่านเข้าประเทศ

2.ทรงผมเกล้าตอบโจทย์มากที่สุด
ไม่ว่าจะร้อน หนาว ฝนตก จะเป็นทรงเกล้า จะมัดมวย ดังโงะ หรือเกล้าแกะ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนขี้ร้อน การปล่อยผมเป็นอะไรที่น่ารำคาญใจสุดๆ เพราะอากาศในช่วงนี้ถึงจะไม่ได้ร้อนมากแบบไทยแลนด์ แต่เชื่อมั๊ยว่ามันอบ อ้าวจนอยากจะวิ่งไปเปลี่ยนเสื้อสายเดี่ยวเลยล่ะค่ะ


3.ใครเมาเรือยกมือขึ้น
ในทริปนี้ลูกเกดได้ไปเที่ยวมาเก๊า 1 คืน ตั้งแต่ก้าวขึ้นเรือก็คิดในใจว่า เรือลำใหญ่ดีดี๊ ติดแอร์เย็นสบาย นั่งไปได้ 15 นาที เท่านั้นแหละค่ะคุณขา เมาเรือแบบยิ่งกว่านั่งเรือไปเกาะสีชังหรือเกาะล้านเป็นร้อยเท่า ทั้งๆ ที่ปกติไม่ได้เป็นคนเมาเรือง่ายๆ นะ สาวๆ ที่ไปเที่ยวฮ่องกงแล้วมีแพลนต่อเรือไปมาเก๊า อย่าลืมกินยาแก้เมาเม็ดสีเหลืองก่อนขึ้นเรือสักครั้งชั่วโมง ส่วนขากลับลูกเกดกินยาแก้แพ้ไปนอนหลับสบายไม่คลื่นไส้เลยสักนิด



4.รองเท้าผ้าใบใส่สบายพร้อมลุย
แน่นอนว่าการไปฮ่องกงครั้งนี้การเดินช้อปปิ้งเป็นเรื่องที่สาวๆ ต้องเจอ ลองวางส้นสูง 5 นิ้วไว้ที่เมืองไทยแล้วหารองเท้าผ้าใบสักคู่ เดินนานกี่ชั่วโมงก็ไม่หวั่น แถมยังชิคๆ เหมือยวัยรุ่นที่นั้นอีกด้วย

5. น้ำชาร้อนเป็นของคู่โต๊ะอาหาร
เปรียบได้เหมือนกับการต้อนรับของบ้านเค้า การจิบแต่ละครั้งขอให้เบาๆ เพราะน้ำชาที่นี้ร้อนมาก แล้วถ้าสาวไทยที่ติดน้ำเย็น(ฟรี)คงต้องถามหากับพนักงาน เนื่องจากไม่ได้มีวางไว้บนโต๊ะอย่างอาหารบ้านเรา


6. ร้านบะหมี่เจ้าดังแสนอร่อย
ร้านบะหมี่ร้านนี้ตั้งอยู่แถวโรงแรม sav ที่ลูกเกดพักเลยค่ะ เมนูที่อยากแนะนำก็คือ เกี๊ยวกุ้ง มันดีจริงๆ ทุกคำที่เคี้ยวบอกเลยว่าฟินมา ลองคิดดูว่าในเกี๊ยวหนึ่งอัน กัดแล้วมีกุ้งอยู่ในนั้นมากกว่า 4 ตัว กินคู่กับบะหมี่ราดน้ำสีแดง เป็น 2 สิ่งที่กินด้วยกันแล้วลงตัวมาก กลับมาไทยแล้วยังคิดถึงเกี๊ยวร้านนั้นอยู่เลย (ส่วนสถานที่ตั้งต้องขอโทษด้วยจริงๆ ได้แต่ถ่ายป้ายนี้มาซึ่งไม่แน่ใจเลยว่าเป็นร้านบะหมี่หรือว่าร้านข้างๆ ใครไปแล้วลองเอารูปนี้ไปถามคนแถวนั้นดูนะคะ ร้านบะหมี่จะอยู่ติดกับ 7 eleven ขอให้เจอแล้วกันเพี้ยงงง)

7. น้ำหอมร้านดังมีทั้งปลอมทั้งจริง 
ใครที่ไปแล้วกะไปซื้อน้ำหอมราคาถูกคงต้องฉุกคิดนิดนึง เพราะไกด์จาก ฮ่องกงบอกลูกเกดว่า ถ้าโชคร้ายอาจจะเจอของปลอม เรียกว่าตาดีได้ตาร้าย เสีย ถ้าใครกลัวเจอหลอกลงทุนซื้อน้ำหอมที่ดิวตี้ฟรีดีกว่าค่ะ ถึงจะแพ้แต่ ว่าแท้ 100 เปอร์เซ็นต์


8. จิวเวลรี่ ที่ขายเครื่องรางกังหัน ไม่ได้มีแค่หลักหมื่น หลักแสน กำไล 950 ก็มีนะ
วัดกังหัน หรือ วัดแชกงหมิว ที่ใครไปถึงฮ่องกงจะต้องไปไหว้ขอพร และหาซื้อแหวนและจี้เพชร ที่ฮ่องกงจิวเวอรี่ ที่ขายเครื่องรางกังหัน สำหรับสาวๆ งบน้อยที่อยากจะได้เครื่องรางเพื่อรักษาสุขภาพ มี กำไลแม่เหล็ก ราคา 950 บาท ไม่ต้องเสียเงินเป็นหมื่น เป็นแสนก็ได้ของกลับบ้านเหมือนกัน
9. ค่าถุงบางที่ไม่ได้ฟรีนะจ๊ะ
ช้อปเพลินช้อปมันจะถือกลับไม่ไว้ ร้านแบรนด์เนมบางร้านคิดราคาถุงในราคา 0.50-1 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือร้านสะดวกซื้อบางร้านถ้าไม่ได้ซื้อเยอะมากๆ เค้าก็จะไม่ให้ถุงใส่ของเรานะยูว์ งานนี้จะซื้ออะไรอย่าลืมเช็คดูก่อนล่ะแล้วจะหาว่าไม่เตือน

10. แถมให้สำหรับใครที่ได้ไปเที่ยว ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล มาเก๊า มีคนแนะนำว่าให้ยืนบันไดขั้นที่ 30 (กล้องเลนส์ปกติหรือกล้องโทรศัพท์) จะได้ภาพที่สวยลงตัว ถ้าไม่เจอทัวร์จีนซะก่อน เพราะผู้คนมากมายเจอรายล้อมตัวเราไม่ว่าจะโยกย้ายไปมุมไหนพวกเค้าเหล่านั้น ก็จะติดอยู่ในภาพทุกมุม ทำได้แค่ทำใจแล้วถ่ายแค่ประตูโบสถ์กลับมาเหมือนอย่างภาพนี้ อิอิ