วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ทุกวันนี้เราอาบน้ำผิดวิธีอยู่ไหมนะ

          เชื่อได้ว่าสาวๆ อย่างเราๆ เวลาอาบน้ำนั้น ใช้เวลาค่อยข้างนานเลยแต่ละคน เพราะเวลาในการอาบน้ำของสาวๆ นั้น ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ขัดผิว พอกผิว สระผม ต่างๆ นานา แต่! พฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำอยู่นั้นมันถูกต้องไหมนะ ลองมาดูกันค่ะ
1. ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิม 
         การอาบน้ำแล้วใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิมซ้ำๆ นั้น สาวๆ รู้ไหมคะ ว่านั้นคือแหล่งสะสมของแบคทีเรียเลยนะ
2. ไม่หวีผมก่อนสระผม
         ถ้าไม่อยากมีผมเสีย สาวๆ ควรที่จะหวีผมก่อนทำการสระผมนะค่ะ
3. สระผมทุกวัน
        การสระผมทุกวันนั้นจะยิ่งทำให้ผมของเรามันมากขึ้น ลองสระซักวันเว้นวัน แต่ถ้าวันไหนกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำนั้นมันหนักจริงๆ ก็ควรที่จะสระนะค่ะสาวๆ
4. อาบน้ำร้อน
       สาวๆ คนไหนที่ชอบอาบน้ำร้อนๆ อุ่นๆ แล้วละก็ ควรพักผิวแล้วอาบน้ำในอุณหภูมิปกติบ้าง จะช่วยทำให้ผิวของเราไม่แห้งเสียจนเกินไป แต่ถ้าอยากอาบน้ำอุ่นจริงๆ แนะนำว่าก่อนจะอาบน้ำเสร็จควรใช้น้ำในอุณหภูมิปกติอาบเป็นครั้งสุดท้ายนะค่ะ
5. ขัดผิวทุกวัน
       แน่นอนว่าผู้หญิงกับ การดูแลผิวนั้นเป็นของคู่กันค่ะ ดังนั้นแล้วสาวๆ ที่ชอบขัดผิวเป็นประจำทุกวันนั้นมันไม่ดีนะ เพราะการขัดผิวจะทำให้ผิวเราบางลง แถมยังทำให้ผิวดูมันจนทำให้เกิดแบคทีเรียได้ง่าย

4 เคล็ดไม่ลับ...วิธีเยียวยาอาการ “ออฟฟิศซินโดรม” ฉบับคนญี่ปุ่น

“ออฟฟิศซินโดรม” (OfficeSyndrome) เป็นอาการปวดตึงที่บ่า ไหล่ ปวดหลัง เมื่อยตามร่างกาย ซึ่งเหล่าพนักงานออฟฟิศ ที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ยอมลุกไปไหน หรือนั่งทำงานในอิริยาบถที่ไม่เหมาะสมนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าหากทำงานหนัก ก็เสี่ยงกับโรคนี้แน่ๆ
หากจะพูดถึงประเทศที่คนมีความมุ่งมั่น เอาจริงเอาจังในการทำงาน คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากประเทศญี่ปุ่น ก็คงจะหลีกเลี่ยงจากอาการเหล่านี้ไม่ได้แน่ๆ แต่จะสังเกตได้ว่าคนญี่ปุ่นแม้จะทำงานอย่างหนัก แต่ก็มีอายุยืนยาว ก็เพราะมีวิธีรับมือและเยียวยาอาการเหล่านี้ให้บรรเทาลงได้ วันนี้เลยยกเอาวิธีการเยียวยาอาการออฟฟิศซินโดรมด้วยวิธีแบบคนญี่ปุ่นมาฝาก กัน รับรองว่าใครๆ ก็ทำตามได้แน่นอน จะมีวิธีอะไรบ้าง มาดูกัน

1. บำบัดความเมื่อยล้าด้วยออนเซน (Onsen)

การแช่น้ำแร่ออนเซน เป็นวัฒนธรรมที่คนญี่ปุ่นสืบทอดกันมายาวนาน จนนับว่าเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันไปแล้ว ซึ่งการแช่ออนเซนไม่ได้แช่เพื่อความสบายตัวอย่างเดียวนะ จริงๆ แล้วการแช่ออนเซนนี่แหละ ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยต่างๆ ได้และยังช่วยคลายความตึงเครียดจากการทำงานได้ดีเลยล่ะ ไม่เพียงเท่านี้ยังทำให้ผิวพรรณของเราดูสวยเปล่งปลั่ง ระบบการหมุนเวียนของเลือดดีขึ้นด้วย ใครที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็อย่าลืมไปแช่ออนเซนผ่อนคลายความเมื่อยล้ากันด้วยนะ แต่จะว่าไปตอนนี้ที่ไทยก็มีบริการออนเซนแล้วด้วย หรือจะเป็นออนเซนไทยๆ อย่างบ่อน้ำพุร้อนที่มีอยู่หลายจังหวัดก็ไม่เลวนะ  
2. วิตามินบี1 ลดอาการออฟฟิศซินโดรม

นอกจากจะเยียวยาและบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ภายนอกแล้ว พนักงานออฟฟิศหลายคนยังเลือกที่จะกินวิตามินเสริม เพื่อบรรเทาอาการอ่อนล้าจากการทำงานและบำรุงร่างกายให้แข็งแรงพร้อมสู้งาน เสมอ ซึ่งอาจแตกต่างกับไทยนิดหน่อยตรงที่คนญี่ปุ่นนิยมกินวิตามินบีมากกว่า วิตามินซีซะอีก ก็เพราะคนญี่ปุ่นทำงานกันหนักก็เลยต้องเสริมด้วยวิตามินบีกันหน่อย อย่างอนุพันธ์วิตามินบี1 ที่มียอดขายอันดับ 1 คือ Alinamin Ex Plus ที่ตอนนี้ก็สามารถหาซื้อในไทยได้แล้วเช่นกัน วิตามินตัวนี้จะช่วยฟื้นฟูความเมื่อยล้าให้กับดวงตา และผ่อนคลายความปวดเมื่อย และที่สำคัญคือ สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่าปกติ ใครที่กำลังเจอออฟฟิศซินโดรมคุกคาม ลองโดปอนุพันธ์วิตามินบี1 เป็นประจำ เท่านี้ก็จะช่วยบรรเทาและโบกมือลาอาการออฟฟิศซินโดรมได้แล้ว
3. เครื่องนวดคลายปวดเมื่อย

อีกหนึ่งวิธีคลายความเมื่อยล้าของคนญี่ปุ่น คือ การนวดตัวด้วยเครื่องช่วยนวดบรรเทาความเมื่อยล้าซึ่งจะมีรูปแบบให้เลือกหลาก หลาย แล้วแต่ความชอบกันเลย โดยเฉพาะอาการออฟฟิศซินโดรม ลองใช้เครื่องนวดก็ดีเหมือนกันนะ สะดวก ใช้งานง่าย แถมยังสามารถพกติดตัวได้ทุกที่ ปวดเมื่อยเมื่อไหร่ก็จัดเลย เครื่องนวดช่วยได้นะเออ เห็นเครื่องนวดจิ๋วๆ แบบนี้แต่แจ๋วนะ จะบอกให้! สำหรับในไทย แม้จะมีรูปแบบน้อยหน่อย และส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเป็นแบบเครื่องนวดไฟฟ้า นิยมอัตโนมือมากกว่าแต่ก็ใช้ได้ดีไม่แพ้กันนะ
4. ยานวดหรือแผ่นแปะบรรเทาความเมื่อยล้า

มีเครื่องนวดไปแล้ว จะขาดยานวดได้ยังไง เพราะนี่เป็นวิธีแก้อาการออฟฟิศซินโดรมที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง เมื่อรู้สึกเมื่อยล้าจากการทำงาน คนญี่ปุ่นจะนิยมใช้ยานวดหรือแผ่นแปะลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แถมราคาไม่แพงด้วย ถ้ามีเวลาว่างหลังเลิกงานก็แวะซื้อยานวดซะหน่อย กลับบ้านมานวดเองเพลินๆ รับรองสบายตัว วิธีนี้หลายเสียงการันตีว่าใช้ได้ผลด้วยนะ
วิธีบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมของคนญี่ปุ่น เค้าเจ๋งใช่มั้ยล่ะ เราเองก็สามารถทำตามได้ง่ายๆ นะ แถมไม่ต้องจ่ายแพงแบบคนญี่ปุ่นด้วย ต่อไปเหล่าพนักงานออฟฟิศทั้งหลายก็ไม่ต้องกังวลกับออฟฟิศซินโดรมแล้วล่ะ

“ฉันหยิ่ง ฉันเยอะ ฉันเหวี่ยง ฉันคือศูนย์กลางของโลก” ดีเจต้นหอม

เชื่อไหมคะว่า คุณสมบัติ สุดแรง ดูไม่น่ารัก ไม่น่าคบหาเอามากๆ ที่เกริ่นมาทั้งหมดนี้ “เคย” มีอยู่ในตัวหอมมาก่อน

ความที่พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่หอมยังเด็ก หอมกับน้องชายจึงต้องระเห็จไปอยู่บ้านคุณปู่คุณย่าแทน แต่ถึงอย่างนั้นนานน้านนน…คุณปู่กับคุณย่าถึงจะแวะมาที่บ้านสักครั้ง เพราะท่านต้องไปราชการต่างจังหวัดบ่อยๆ
บ้านหลังนี้มีแค่หอม น้องชาย คุณอาอีก 2 คน และพี่เลี้ยงอีก 1 คน ซึ่งถ้าไม่นับรวมพี่เลี้ยงแล้วบ้านนี้ก็จะมีแต่เด็กๆ ทั้งนั้น เพราะทุกคนอายุไล่เลี่ย กันหมด ดังนั้นเรื่องการอบรมบ่มนิสัยจึงไม่ต้องพูดถึง จะเรียบร้อยเฉพาะเวลาคุณปู่มาเท่านั้น
หอมจึงเติบโตมาเป็นคนแข็งๆ ไม่รู้ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการมีน้ำใจเป็นอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น หอมยังเป็นคนตั้งกำแพงให้ตัวเองไว้สูงมาก ยิ่งถ้าเจอคนแปลกหน้าปั๊บ หอมจะกลายเป็นคนหยิ่ง ไม่พูดไม่จา…แม้แต่เพื่อนห้องฝ่ายเข้ามาคุยก่อน
หอมใช้ชีวิตอย่างนี้เรื่อยมาจนช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปี 4 นี่เองที่หอมเริ่มเปลี่ยน…
ตอนนั้น หอมได้งานพิเศษเป็นพริตตี้ค่ะ ความที่ต้องไปทำงานไกลถึงไบเทค บางนาหอมจึงตัดสินใจ “แชร์ห้องพัก” กับคนอื่นเป็นครั้งแรกเพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง10 วันที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นทำให้หอมรู้ว่า ต้องรู้จัก “โน้ม” เข้าหาคนอื่นบ้าง แล้วก็ต้องรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับเนื้องาน ถึงจะฝืนบ้างก็ต้องยอม
พอจบออกมาหอมเริ่มทำงานผ้ปูระกาศตอนนั้น ไฟกำลังแรง หอมก็จะมีความ “เยอะ” เป็นพิเศษ ทั้งกับตัวเองและคนอื่น อย่างคนเขียนสคริปต์ก็ต้องเขียนถูกต้องเป๊ะๆ คนเลือกข่าวต้องเลือกข่าวได้ดีด้วย เพราะไม่อย่างนั้นจะส่งผลถึงหอมที่ทำงานอยู่หน้าจอ และถ้าใครทำไม่ดีขึ้นมา หอมจะทั้งพูดทั้งวิจารณ์ตรงๆ อย่างไม่แคร์ ฯลฯ สุดท้ายเพื่อนร่วมงานก็เลยไม่ค่อยอยากสมาคมกับหอมสักเท่าไหร่ แต่ก็โชคดีที่ผู้ใหญ่ยังเห็นความสามารถของหอมอยู่บ้าง
มาวันหนึ่งเมื่อหอมเริ่มมองเห็นคนที่มีนิสัยแบบเดียวกัน หอมได้เห็นตัวเองว่าพฤติกรรมแบบนี่ไมน่ารัก จริงอยู่ว่า การวิจารณ์ตรงๆ อาจจะดีในสังคมฝรั่ง แต่ไม่ดีในสังคมไทยเพราะคนไทยอยากให้พูดแค่ในสิ่งที่เขาอยากฟังเท่านั้น ไม่ชอบให้วิจารณ์ ยิ่งเป็นเด็กไปวิจารณ์ผู้ใหญ่ก็ยิ่งถูกมองว่าก้าวร้าว
ที่สำคัญ เราต้องส่องกระจกดูตัวเองด้วยว่า “เราทำหน้าที่ดีแล้วหรือ” ถ้ารู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดี มีข้อบกพร่อง ก็ไม่มีสิทธิ์ไปวิจารณ์หรือไปก้าวก่ายคนอื่นเด็ดขาด
พอหอมเริ่มมีโอกาสได้มาแสดงละคร นอกจากจะเป็นงานที่ท้าทายตัวเองไม่น้อยแล้ว การทำงานนี้ยังทำให้หอมได้เห็นสังคมในกองถ่ายว่า “มีความเหลื่อมล้ำ” อยู่เหมือนกัน ไล่เรียงตั้งแต่นางเอก พระเอกที่จะได้รับการปฏิบัติระดับ 5 ดาว นางรอง พระรองได้รับการปฏิบัติระดับ 3 ดาว ส่วนตัวประกอบหรือตัวตลกอย่างหอมอาจจะเหลือแค่ 1 ดาว
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น วันหนึ่งกองถ่ายทำต้มเลือดหมู หอมแค่เดินไปบอกแม่ครัวว่า ไม่ใส่เครื่องในค่ะ เพราะหอมไม่กินเครื่องใน แค่นั้นแม่ครัวก็หาว่าหอมเรื่องมากทั้งๆ ที่เป็นแค่ตัวประกอบอะไรทำนองนี้ ส่วนช่างแต่งหน้าก็แต่งแบบขอไปที แม้หอมจะขอร้องดีๆ ว่าช่วยเติมตรงนี้ให้หน่อย เพราะหอมรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนสวย
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้หอมแอบอาฆาตเล็กๆ ว่า “เออ จำไว้ อย่าให้ฉันดังขึ้นมาบ้างก็แล้วกัน!”
แล้วมันก็เหมือนความโชคดีนะคะ เพราะไม่นานนักหอมก็เริ่มมีชื่อเสียงในวงการแสดง ส่วนวงการดีเจที่เป็นงานหลักก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียว เชื่อไหมคะว่า ในวันที่หอมดัง ชีวิตในกองถ่ายก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงค่ะ
ไม่ใช่แค่ทีมงานจะปฏิบัติต่อหอมในระดับ 3 – 5 ดาวเท่านั้นนะคะ แต่ตัวหอมเองก็มีความ “เยอะ” เพิ่มขึ้นด้วย จากที่เคยใช้ชีวิตง่ายๆ อะไรก็ได้ คราวนี้ไม่ได้แล้ว เอาแต่ใจตัวเองและมีข้อต่อรองตลอด ยกตัวอย่างเช่น หอมทำผมเสร็จแล้วเตรียมจะเข้าฉาก แต่ยังรู้สึกว่ามันดีกว่านี้ได้อีกหอมก็จะให้ช่างรื้อทำใหม่ทั้งหมด ทีมงานก็จะตามใจทำให้ใหม่ เหตุผลที่พวกเขาต้องตามใจหอมก็ไม่ใช่อะไร เพราะความที่หอมกำลังดังผสมกับความกลัวนั่นเอง พวกเขากลัวว่าหอมจะไปฟ้องเจ้านาย กลัวว่าหอมจะวีนใส่ ฯลฯ เรียกว่าช่วงนั้น “หอมตัวใหญ่มาก ไปไหนก็เห็นแต่ตัวเอง ส่วนคนรอบข้างกลายเป็นตัวเล็กไปหมดเลย”
ที่หนักที่สุดคือ ทีมงานต้องลงไปนั่งใส่รองเท้าให้หอม ทั้งๆ ที่ตอนนั้นมือหอมก็ว่าง ไม่ได้ถืออะไรสักนิด มันเป็นความสะใจเล็กๆ มากกว่าค่ะที่หอมไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน!!!
หอมใช้ชีวิตแบบลืมตัวหลงระเริงอย่างนี้ไปสักพัก แล้วก็เหมือนเรื่องแรกที่เล่าให้ฟังเมื่อวันหนึ่งหอมเริ่ม “เห็นตัวเอง” จากข่าวที่อ่านบ้าง ได้ยินคนเมาท์มอยกันบ้างว่า ดาราคนนั้นเยอะ ดาราคนนี้เรื่องมาก ยิ่งอ่านยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่า ทุกอย่างที่ว่าแย่ๆ มันอยู่ในตัวหอมทั้งหมดเลยนี่นา วันหนึ่งหอมเลยกลับมานั่งมองตัวเองว่า
“ถึงจะมีชื่อเสียง แต่สุดท้ายหอมก็เป็นแค่ตัวตลก ไม่ใช่พระเอก นางเอกไม่ใช่คนดีเลิศหรือมีความสำคัญอะไรที่ทุกคนต้องมาเอาอกเอาใจขนาดนี้ แล้วหอมทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร”
สู้กลับมาเป็นคนทำงาธรรมดาๆ แล้วทำงานให้ดีที่สุด สุดท้ายคนก็จะรักและนับถือเราจากใจจริงไปเอง ไม่ใช่นับถือแค่ “หน้าฉาก” เพราะเราได้ชื่อว่าเป็นคนดัง
หอมว่าชีวิตคือการเรียนรู้ จริงอยู่ว่าสมัยเด็กๆ เราอาจจะเลือกไม่ได้ที่เกิดมาในครอบครัวที่แตกแยก โตมาแบบไม่มีใครสั่งสอน แต่เมื่อโตขึ้น ได้มีประสบการณ์ชีวิต ได้รู้จักคนมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้เองที่เป็น “ครู” ที่ดีที่สุดให้กับเราค่ะ

“เมคอัพเบส”เลือกยังไงให้เกิด

สาวๆ หลายๆคนอาจจะสงสัยกันว่า เมคอัพเบส เอาไว้ทำอะไร ต้องทาตอนไหน แล้วจะเลือกใช้สีอะไรดี ?
เมคอัพเบส คือ ผลิตภัณฑ์ปรับสีผิวที่ใช้ทาก่อนลงรองพื้น มีคุณสมบัติมากมาย ช่วยให้เครื่องสำอางติด ทน ปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ ทำหน้าที่คล้ายกับฟิล์มที่เคลือบผิวหน้า แต่อย่าลืมนะเราจะใช้เพียวอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเบสไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะปกปิดริ้วรอยอะไรเลย ควรทารองพื้นทับหลังจากทาเบส เพื่อประสิทธิภาพในการแต่งหน้าที่ดียิ่งขึ้น
 
ขอบคุณภาพประกอบ http://theglossy.sephora.com/
คัลเลอร์เบสแต่ละสีมีหน้าที่แตกต่างกันไป เราต้องเลือกและปรับใช้ให้เหมาะกับปัญหาผิวของเราด้วย
  • สีเขียว ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ปกปิดรอยแดงจากสิวได้เป็นอย่างดี ตัวนี้เชื่อว่าสาวๆหลายๆคนคงมีไว้ครอบครองกันบ้างแล้ว เพราะฮิตกันซ่ะเหลือเกิน
  • สีม่วง เหมาะสำหรับสาวผิวเหลือง เพราะช่วยให้ผิวที่ดูเหลืองซีด ดูสว่าง สุขภาพดี
  • สีขาว ทาบริเวณที่ต้องการจะไฮไลท์ให้หน้าดูมีมิติ หรือผสมกับรองพื้นให้ผิวดูสว่างขึ้น หรือสามารถนำมาปรับใช้หากรองพื้นมีสีที่เข้มเกินไป ก็นำเบสสีขาวมาผสมให้พอดีกับสีผิวเราได้
  • สีชมพู เหมาะสำหรับคนที่มีผิวขาวซีด ทาแล้วจะดูผิวมีชีวิตชีวิตชีวามากขึ้น
  • สีเหลือง เหมาะสำหรับคนที่มีรอยแดงจากสิวหรือใบหน้าหมองคล้ำ
  • สีฟ้า เหมาะสำหรับคนที่มีผิวเหลืองเพราะทาแล้วจะทำให้สว่างขึ้น ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสาวที่มีผิวขาวซีดอยู่แล้ว เพราะจะทำให้ขาวซีดไปใหญ่
  • สีส้ม กับคนที่ค่อนข้างมีสีผิวที่เข้มมากกว่าปกติ

วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว

หลังจากที่ได้โพสต์ "วิธีรักษาสิว" ไปแล้ว
วันนี้ก็ขอตามมาด้วย "การรักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว" ต่อเลยก็แล้วกัน
เหมือนโพสต์วิธีรักษาสิวค่ะ
ความรู้เหล่านี้ได้มาจาก @DrRungsima แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง

จากทวีตวิชาการ...
การบีบแคะแกะหรือกดสิว อาจทำให้สิวเกิดการอักเสบมากขึ้น เกิดรอยแดง รอยดำ หรือหลุมสิวตามมา ดังนั้นคิดให้ดีก่อนบีบสิวนะคะ

หลุม สิวทำให้ดีขึ้นได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ เลเซอร์กรอผิว หรือคลื่นความถี่วิทยุชนิดที่ทำให้เกิดแผล แต่ต้องทำหลายครั้งถึงจะดีขึ้นได้ 60-70%

หลุมสิวรักษายากที่สุดในบรรดารอยแผลเป็นสิวทั้งหลาย และไม่มีวันจะทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิมได้ 100%

ไม่มียาทาหรือครีมชนิดไหนจะช่วยให้รอยแดงสิวดีขึ้นได้ โปรดอย่าหลงเชื่อคำโฆษณา

รอยแดงสิว หายได้เองในเวลา 6-9 เดือน แต่ถ้าอยากให้หายเร็วสามารถทำเลเซอร์เดือนละครั้ง 3-4 ครั้ง เลเซอร์ 1 ครั้งจะดีขึ้น 20-30%

ถ้า อยากให้รอยดำสิวหายเร็วขึ้น ให้ทายาที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ arbutin licorice kojic acid vit c ทำ treatment ด้วยกรดผลไม้ หรือฉายแสง LED

รอยดำสิวหายได้เองในเวลา 3-6 เดือน ขึ้นกับสีผิว ถ้าผิวสีเข้มจะหายช้ากว่าผิวสีอ่อน

ถ้าการอักเสบของสิวลงลึกถึงชั้นหนังแท้ และมีการอักเสบนานเกิน 1 เดือน อาจหายเป็นรอยแผลเป็นหลุมสิว

ถ้าสิวอักเสบอยู่นานเกิน 14 วัน จะหายเป็นรอยดำ แต่ถ้าอักเสบอยู่นานเกิน 1 เดือน จะเกิดรอยแดงสิวขึ้นมาได้

สิวอักเสบโดยทั่วไป ถ้าไม่ไปยุ่งกับมัน จะหายได้เองในเวลา 7 วัน

ขอ จบการทวิตเรื่องการดูแลผิวด้วยตนเองอย่างง่ายๆ แค่นี้ก่อนนะคะ ใจความสำคัญคือ ล้างหน้าให้สะอาด ทา moisturizer ตามสภาพผิว และกันแดดค่ะ

จากทวีตวิชาการของคุณหมอ
ถ้าอยากให้รอยดำสิวหายเร็วก็ทายาที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้หรือไม่ก็ทำทรีทเม้นท์ ฉายแสง บลาๆ

แต่ถ้าเป็นหลุมสิวก็ต้องฉีดฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์ ซึ่งตังค์? ... ยังไม่มีไง
เมย์ก็เลยจะเน้นการดูแลผิวหน้าให้สะอาด สิวจะได้ไม่มาเยือน

ถ้ามีสิวก็อย่าไป บีบ แคะ แกะ เกา (ซึ่งเอาจริงๆ มันยากนะ กว่าจะห้ามใจ มือก็ไปแล้ว)

แล้วก็ทาครีมบำรุงผิวและครีมกันแดด ในปริมาณที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ

หลบแดดเท่าที่ทำได้ ... นานๆ ทีมีเข้าคลีนิคทำทรีทเม้นท์บ้าง

แล้วก็เมคอัพค่ะ ... มันช่วยคุณได้ Makeup is Magic :)
ถ้าเพื่อนๆ สนใจสามารถอ่าน ขั้นตอนการดูแลผิว ของเมย์เพิ่มเติมได้นะคะ

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ไขปัญหาเรื่องบนเตียง...เมื่อคุณผู้หญิง “เจ็บ” ขณะมีเพศสัมพันธ์

คอลัมน์ คุยกับหมอพิณ โดย พ.ญ.พิณนภางค์ ศรีพหล
สวัสดีค่ะ สัปดาห์นี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องปัญหาบนเตียงกันนะคะ ปัญหาบนเตียงที่ไม่ได้เกิดจากความรักที่จืดจาง ไม่ได้เกิดจากการที่ใครคนใดไปมีคนอื่น แต่เกิดจากคุณผู้หญิงมีอาการ "เจ็บ" ขณะมีเพศสัมพันธ์ค่ะ

บางคนเจ็บมากจนไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ หรือถ้ามีได้ก็ไม่มีใครฟิน เพราะดูเป็นกิจกรรมทรมานฝ่ายผู้หญิงมากกว่า
หนึ่งในสาเหตุของอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ของคุณผู้หญิง ได้แก่ อาการที่ช่องคลอดหดเกร็ง (โดยไม่ได้ตั้งใจ คือมันควบคุมไม่ได้ มันหดเอง)
นั่นคือโรคช่องคลอดหดเกร็ง หรือ Vaginismus ในกูเกิลบางคนใช้คำว่าจิ๋มล็อก
(แต่สารภาพตามตรงว่า ตอนเรียนก็ไม่เคยได้ยินศัพท์ "จิ๋มล็อก" นี้เหมือนกันค่ะ แต่ก็ดูเห็นภาพดีนะคะ ดูปิด ดูล็อก ดูเข้าไม่ได้)
พอช่องคลอดหดเกร็ง เวลาสอดใส่อะไร ไม่ว่าจะเป็นผ้าอนามัยแบบสอด องคชาต หรือเครื่องมือตรวจทางนรีเวช ก็ไม่สามารถสอดใส่ได้ เพราะคุณผู้หญิงจะมีอาการเจ็บมาก เจ็บเหมือนช่องคลอดจะฉีกขาด
อาการช่องคลอดหดเกร็ง อาจเกิดจากความกังวล การกลัวการมีเพศสัมพันธ์ หรืออดีตเคยมีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับทางเพศมาก่อน เช่น ถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือถูกข่มขืน
อาจจะเป็นตั้งแต่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ หรือเป็นหลังจากเคยมีเพศสัมพันธ์ก็ได้
โรคนี้ไม่ได้พบน้อย แต่บางคู่รู้สึกอายที่จะมาพบแพทย์ บางคู่แก้ปัญหาโดยการไม่มีเพศสัมพันธ์กันซะเลย บางรายเรื้อรังมีปัญหากันถึงขั้นเตียงหัก
หากตัวคุณเองหรือคู่รักมีปัญหาเช่นนี้ ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ร่วมกับจิตแพทย์ค่ะ
เพราะควรจะต้องตรวจเพิ่มเติมว่า อาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ หรือไม่ เช่น การอักเสบติดเชื้อ เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอก
การรักษา (หรือการเปิดล็อก) จะเป็นการฝึกการควบคุมและผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน หรือการขมิบค่ะ ร่วมกับการค่อยๆ ฝึกการสอดใส่และผ่อนคลาย
(รายละเอียด : อาจเริ่มจากสอดใส่นิ้วมือ (ตัดเล็บก่อนนะคะ) ร่วมกับเจลหล่อลื่น
อาจเป็นนิ้วมือผู้ป่วย หรือสามีก็ได้ ผ่อนคลายและให้ชิน หลังจากที่เริ่มผ่อนคลายและคุ้นชิน อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนก็สามารถลองมีเพศสัมพันธ์ได้โดยให้ ผู้หญิงเป็นคนควบคุม (คืออยู่ข้างบน)
(รายละเอียดค่อนข้างติดเรต คุณผู้อ่านหากมีปัญหาสามารถหลังไมค์มาได้นะคะ)
โรคช่องคลอดหดเกร็ง อาจส่งผลกับเรื่องบนเตียงและชีวิตคู่ของคุณได้ อย่าปล่อยทิ้งไว้ อย่าอายและไปพบแพทย์กันนะคะ สวัสดีค่ะ

‘11เคล็ดลับ’ สวยด้วยว่านหางจระเข้

สมุนไพรไทยที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี “ว่านหางจระเข้" มีประโยชน์และสรรพคุณมากมาย ที่หลายก็รู้แล้วแต่หลายคนก็ยังไม่รู้  เรียกได้เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์สารพัด และหาซื้อง่ายหรือบางบ้านก็ มีอยู่ในสวนแล้ว แถมสมัยนี้ว่านห่างจระเข้เป็นที่นิยมมาก จนมีการขายแบบใส่กระปุก ซึ่งง่ายต่อการใช้งานและราคาไม่แพง วันนี้เรามี 11 เคล็ดลับสวยด้วยว่านหางจระเข้มาฝากสาวๆกันด้วย
ขอบคุณภาพประกอบ http://naturalsociety.com/
1.ครีมบำรุงผิวหน้า ทาบางๆให้ทั่วใบหน้าและลำคอ จะช่วยลดอาการอักเสบของสิว ลดรอยแดงหลังจากการเจอแสงแดด กระชับรูขุมขน ผิวหน้าชุ่มชื้น และกระจ่างใส หน้าไม่มัน และทำให้แต่งหน้าได้ง่ายอีกด้วย
2.มาสก์หน้า แนะนำให้พอกหนาๆ ช่วยดูดซึมสารพิษจากผิวที่ถูกทำลายจากสารตกค้าง เช่น สารสเตียรอยด์ สารปรอท
3.ทาปาก ช่วยเพิ่มเติมความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก และทำให้ปากไม่ลอกเป็นขุย
4.มาส์กใต้ตา นำเจลว่านหางจระเข้ไปแช่เย็นและนำมาทาบนสำลี เสร็จแล้วมาแปะตรงเปลือกตาเราง่ายๆ แค่นี้ ก็จะช่วยลดรอยคล้ำและอาการบวมใต้ตาได้
5.โลชั่นบำรุงผิวกาย ทำให้ผิวไม่แห้ง ชุ่มชื้น หรือทาบรรเทารอยไหม้หลังจากการออกแดด สามารถใช้เจลพสมโลชั่นหรือครีมกันแดดก็ได้
6.ทาจมูกเล็บ ช่วยบำรุงเล็บไม่ให้เหลือง เหมาะสำหรับคนชอบทาเล็บหรือตกแต่งเล็บบ่อย
7.Shaving Gel สำหรับคุณผู้ชายสามารถนำว่านหางจระเข้ มาทำเป็นเจลโกนหนวด หรือคุณสาวๆ ที่โกนขนบริเวณตามจุดต่างๆ โดยทาก่อนที่จะโกน ป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง ทำให้โกนได้ลื่นเรียบ ป้องกันการอักเสบของผิวจากมีดโกนด้วย
8.ตัวช่วยในการแต่งหน้า น้ำเจลว่านห่างจระเข้มาผสมกับรองพื้น จะได้เป็นลุคงานผิว ที่ดูฉ่ำวาว ผิวอิ่มน้ำเหมือนสาวเกาหลีเลยแหละ
9.มาส์กผมขจัดรังแค นำเจลมาชโลมผมให้ทั่ว ช่วยทำให้เส้นผมเงางามและขจัดรังแคได้อีกด้วย
10.เซรั่มบำรุงผม หลังจากสระผมเสร็จ ตอนผมหมาดให้ทาว่านหางจระเข้ช่วงปลายผม เสร็จแล้วก็เป่าผมให้แห้ง จะได้ผมที่แลดูมีน้ำหนัก
11.Makeup Remover น้ำเจลว่านหางจระเข้มาผสมกับน้ำมันมะกอก ชุบสำลีเช็ดเตรื่องสำอางออก นอกจากจะเช็ดเครื่องสำอางได้อย่างหมดจดแล้ว ยังเป็นการฟื้นฟูผิวอีกด้วย

รู้ทัน...ป้องกัน 3 โรคฮิตมาเยือนช่วงหน้าฝน

รู้ทัน...ป้องกัน 3 โรคฮิตมาเยือนช่วงหน้าฝน

ช่วงนี้เรียกได้ว่าเข้าสู่หน้าฝนกันแบบเต็มๆ แล้ว ใครที่เบื่ออากาศร้อนๆ ก็อาจจะแอบดีใจที่จะได้เจอกับอากาศเย็นและความชุ่มชื้นที่มาพร้อมกับฤดูฝน แต่ก็อย่าแอบดีใจกันเพลิน จนลืมดูแลรักษาสุขภาพอนามัย ของร่างกายกันด้วย ยิ่งช่วงนี้อากาศอาจจะแปรปรวนบ่อยขึ้น มีร้อนมีฝนสลับสับเปลี่ยนกันไป จนหลายคนอาจจะปรับตัวกันไม่ค่อยจะทัน แถมอากาศชื้นๆ อย่างนี้ยังส่งผลให้เชื้อโรคต่างๆ แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วอีกต่างหาก ทำให้โรคระบาดหลายโรคนั้นแพร่กระจายได้ง่าย เรามาดูกันหน่อยซิว่า 3 โรคสุดฮิตที่มาพร้อมกับหน้าฝนนั้นมีอะไรกันบ้าง และเรามีวิธีระวังและป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของโรคร้ายเหล่านี้กันได้ อย่างไร
1. กลุ่มโรคติดต่อทางน้ำและอาหาร โรคสุดฮิตกลุ่มแรกที่เรามักจะเป็นกันบ่อยๆ ช่วงหน้าฝน ได้แก่ โรคท้องเดิน หรือโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน โรคบิด ไทฟอยด์ และอาหารเป็นพิษ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีอาการถ่ายเหลว ปวดบิดในท้อง และหากติดเชื้อบิดก็อาจจะมีมูกหรือเลือดปนมากับอุจจาระได้ งานนี้ใครที่เป็นขากิน ขอบอกว่าหน้าฝนนี้ต้องระวังกันเป็นพิเศษเลยล่ะ
เพราะโรคท้องเดินนี้มักมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารที่มีเชื้อโรคปน เปื้อน หรืออาหารที่ปรุงจากน้ำที่ไม่สะอาด ส่วนใครที่ชอบรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ช่วงนี้ก็ควรระวังเป็นพิเศษ ทางที่ดีนั้นก็ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ ใช้ช้อนกลางในการตักอาหาร และที่สำคัญควรล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง

2. กลุ่มโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ ซึ่งโรคที่พบบ่อยก็ได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ และปอดบวม เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ระบบทางเดินหายใจ ยิ่งในช่วงหน้าฝน อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ส่งผลให้เชื้อไวรัสและแบคทีเรียในอากาศแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ทำเอาหลายคนทั้งไอทั้งจามกันเป็นแถว ช่วงนี้ใครไม่สบายก็ควรใช้ผ้าปิดจมูก ปิดปาก หรือสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น
นอกจากนี้เราก็ควรหลีกเลี่ยงการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายด้วยการไม่คลุกคลี กับผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ หรือหากมีความจำเป็นต้องออกไปในที่ชุมชน การสวมหน้ากากอนามัยก็มีส่วนช่วยป้องกันได้เช่นกัน
3. โรคเยื่อบุตาอักเสบ หรือ โรคตาแดง เป็นโรคยอดฮิตอีกโรคหนึ่งในช่วงหน้าฝนนี้เช่นเดียวกัน ติดต่อโดยตรงจากการสัมผัส การขยี้ตา หรืออาจเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา ทำให้มีอาการตาแดงเฉียบพลัน เคืองตา เจ็บตา น้ำตาไหล ซึ่งวิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือการล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่ใช้มือขยี้ตา หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วยโรคตาแดง และหากมีน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตาให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที
หลายคนฟังแล้วอาจจะกำลังเครียดกับการหาทางป้องกัน 3 โรคติดต่อยอดฮิตที่มาพร้อมกับหน้าฝน ใครที่มีลูกเล็กก็ย่อมต้องห่วงสุขอนามัยของลูกน้อยมากเป็นเท่าตัว แต่คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายก็ไม่ต้องกังวลกันไป เพราะจริงๆ แล้วเราสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเหล่านี้ได้ง่ายๆ ด้วยการหมั่นล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ เพื่อเป็นการลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคอีกทางหนึ่ง

และหากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์สำหรับล้างมือสักตัว ที่มั่นใจได้ว่าสามารถซอกซอนทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง ขอแนะนำผลิตภัณฑ์โฟมล้างมือสำหรับครอบครัวอย่าง คิเรอิคิเรอิ (Kirei Kirei) โฟมล้างมือที่มียอดขายอันดับ 1 ทั้งในไทยและญี่ปุ่น ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย และป้องกันโรคร้ายต่างๆ ที่มาพร้อมกับหน้าฝน
ด้วยส่วนผสมของ anti-bacteria และ antiseptic มีฟองโฟมละเอียด อ่อนนุ่ม ซอกซอนทำความสะอาดได้ทั่วถึง ล้างออกง่าย และยังมี 99 % ของสารทำความสะอาดจากธรรมชาติให้คุณมั่นใจได้ว่าอ่อนโยนต่อผิวลูกน้อยของคุณ และ ใหม่ล่าสุด! กับ 2 สูตรใหม่ สูตรสีชมพู (Moisturizing Peach) กลิ่น Peach เพื่อผิวนุ่มชุ่มชื่น และ สูตรสีเขียว (Refreshing Grape) กลิ่น Grape สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกลิ่นผลไม้ ให้คุณเลือกใช้ได้ตามความชอบ

มาเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเพื่อหุ่นที่ดีกัน

         หูยย! อันนั้นก็อยากกิน อันนี้ก็อยากกิน ยิ่งเค้กนุ่มๆ ซักชิ้นนะ อยากกินสุดๆ แต่!!! อีกใจเราก็อยากหุ่นดี ไม่มีพุง ทำยังไงดีละเนี่ย เลยมีเคล็ดลับการเลือกทานอาหารที่ถ้าทำแล้วจะช่วยให้เราอยากทานขนมต่างๆ ได้น้อยลง แถมหุ่นดีดั่งใจต้องการ มาฝากกันค่ะ
          ทานอาหารมื้อเช้าเป็นประจำ
               การรับประทานาอาหารมื้อเช้าเป็นประจำทุกวันนั้น จะช่วยทำให้สาวๆ ไม่เกิดอาการหิวระหว่างวันได้นะ และสาวๆ ต้องเคยได้ยินว่า มื้อเช้านั้นให้กินแบบราชา ดังนั้นกินไปเลยยย เพราะเรายังมีเวลาเผาผลาญพลังงานอีกเยอะ

ขอบคุณภาพประกอบ : http://diyready.com/
          อยากกินขนมหวาน เปลี่ยนมาทานโยเกิร์ตไขมันต่ำ รสธรรมชาติ
               เวลาที่ง่วงๆ เหนื่อยล้าจากการทำงาน สาวๆ ต้องคิดอยากเติมน้ำตาลให้ร่างกายแน่ๆ จริงๆ ก็ทานได้นะ แต่ถ้าเปลี่ยนจากขนมหวานมาทานเป็นโยเกิร์ตรสธรรมชาติไขมัน หรือรสธรรมชาติแต่อาจเป็นในรูปแบบ Homemade ไขมันต่ำ ทั้งอร่อยทั้งดีต่อสุขภาพด้วยนะ

ขอบคุณภาพประกอบ : http://livesimply.me/
          อยากกินขนมถุงอบกรอบ เปลี่ยนมาทานถั่วอบ
               นั่งทำงาน ดูหนัง ฟังเพลงไปนานๆ อาหารมื้อที่กินไปเริ่มย่อยก็เริ่มหิวอีกแล้ว ครั้งจะไปกินขนมถุงกรอบๆ ก็อยากกินนะ แต่ลองซื้อพวกถั่วอบมาทานดูสิ อร่อยแถมมีประโยชน์ด้วยนะสาวๆ

ขอบคุณภาพประกอบ : http://neelywang.com/
          อยากดื่มน้ำอัดลม เปลี่ยนมาดื่มน้ำมะนาวโซดา
               ร้อนอ่าาา ~ อยากหาอะไรดื่มให้ชื่นใจ แต่ถ้าดื่มน้ำอัดลมละก็ น้ำตาลเยอะ แล้วจะเอาอะไรมาดับร้อนได้บ้างละ นี่เลยสาวๆ เดินไปสั่งน้ำมะนาวโซดาแทนการดื่มน้ำอัดลมเลยจ้าาา นอกจากจะซ่าโดนใจแล้วนะ น้ำมะนาวโซดายังช่วยล้างสารพิษ ให้ประโยชน์ต่อร่างกายเราด้วยยย

ขอบคุณภาพประกอบ : http://mybestbadi.blogspot.com/
          ดื่มน่ำเปล่า!
                   หลักข้อนี้ง่ายๆ เลย น้ำเปล่า อย่างที่รู้ๆ กันว่าในหนึ่งวันนั้นควรจะดื่มน้ำเปล่าให้ได้ 8 - 10 แก้ว การดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ ยังช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่นได้อีกนะ นั่งทำงาน ดูหนังเพลินๆ มีติดตัวไว้คอยจิบก็ดีไม่น้อยเลยนะสาวๆ


ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.listotic.com/

          สำหรับสาวๆ คนไหนที่กำลังตั้งใจแล้วว่าอยากหุ่นดี หรืออยากลดน้ำหนัก แต่ไม่เสียสุขภาพ ลองไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารดูนะค่ะ รับรองผู้หญิงอย่างเราความสวยอยู่ไม่ไกลเลยค่าาา

อยากตื่นมาแล้วสวยเป๊ะ ก่อนนอนควรทำอะไรมาดูกัน

          โอ้ยยย! ตื่นสายไม่ทันแล้ว มีเวลาแต่งหน้าแค่แปปเดียว ผมละ! ทำไม่ทันอีก แล้วที่สำคัญจะใส่ชุดอะไรดี ปัญหาที่ผู้หญิงเกือบจะทุกคน.. เชื่อได้ว่าต้องเคยเป็นกันบ้างแหละ เลยไปหาเคล็ดลับการเตรียมความพร้อมของสาวๆ ในช่วงเวลาก่อนหลับตานอน เผื่อวันไหนตื่นสายขึ้นมาอีกละก็จะได้สวยเป๊ะไปทั้งตัว จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยยยย ^^/
ทาลิปสติกบำรุงริมฝีปาก
         หลังจากอาบน้ำเสร็จก่อนที่จะลงครีมบำรุงผิวหน้าต่างๆ จริงๆ แล้วควรเริ่มจากการทาลิปสติกที่เป็น ลิปปาล์ม ลิปมัน รองพื้นก่อน เพื่อที่จะไม่ให้ตัวครีมที่เราใช้บำรุงหน้านั้นไปถูกริมฝีปาก เพราะครีมบางชนิดถ้าโดนริมฝีปากแล้ว อาจจะทำให้ริมฝีปากดำคล้ำได้นะ

มาส์กหน้า
          สาวๆ บางคนนั้นอาจจะใช่ช่วงเวลาตอนหลับนั้นเพื่อมาส์กหน้า การบำรุงผิวหน้าที่มากกว่าการทาครีมบำรุงปกติ แถมตื่นเช้ามา แต่งหน้าติด ผิวหน้าผ่องใสอีกด้วยละ


ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.bustle.com/
บำรุงผิวกาย
       ขั้นตอนนี้ก็สำคัญค่ะ ดูแลผิวหน้าแล้วอย่าลืมดูแลผิวกายด้วยจ่ะ ทาครีมบำรุงเลย เพื่อผิวที่ชุ่มชื่นของเรา และยิ่งสาวๆ ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องแอร์เป็นประจำแล้วละก็ ต้องทาพวกครีมบำรุงผิวกายเยอะๆ เลย

ขอบคุณภาพประกอบ : http://livesimply.me/

ม้วนผม
        การสระผมตอนกลางคืนนั้น จริงๆ ก็ทำได้นะ แต่ก็ควรที่จะไดร์ผมให้แห้ง ไม่นอนหลับทับไปทั้งที่ยังเปียกอยู่ หรือมาดๆ ก็ตาม เพราะอาจจะทำให้เป็นเชื้อราบนหน้งศีรษะได้ และถ้าเราตั้งใจไว้ว่าเช้ารุ่งขึ้นจะต้องตื่นมาทำผมลอน สามารถใช้ โรลม้วนผมจับผมเป็นช่อๆ แล้วม้วนผมไว้ ตื่นเช้ามาแกะออก ก็จะได้ผมลอนที่จัดแต่งนิดหน่อยก็สวย ออกจากบ้านได้ แถมไม่เสียเวลาเยอะด้วย

ขอบคุณภาพประกอบ : http://camillestyles.com/

เตรียมชุดสำหรับวันรุ่งขึ้น
       สาวๆ ควรวางแผนไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ ว่าวันรุ่งขึ้นนั้นเราจะใส่ชุดไหน แต่งตัวสไตล์ไหนดี ลองจัดวางคราวๆ ไว้ ตื่นเช้ามาจะได้ไม่วิ่งวุ่นหา เสื้อตัวไหนดีน้าา แต่งตัวอะไรดีละไงจ่ะสาวๆ

ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.gurl.com/

ดื่มน้ำ
       ตอนเรานอนหลับนั้น ร่างกายเราต้องไม่ได้ดื่มน้ำไปตั้งหลายชั่วโมงแหนะ ดังนั้นแล้วก่อนนอนเราควรดื่มน้ำไปซัก 1 แก้ว และตอนเช้าตื่นปุ๊บก็ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว จะดีทั้งต่อสุขภาพและผิวพรรณของเราเลยนะ

ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.savorylotus.com/

นั่งสมาธิ,สวดมนต์
       เขาบอกผู้หญิงต้องสวยจากภายในสู่ภายนอก ใช่แล้วว! 55555 มาสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิก่อนนอนกันดีกว่า จะได้นอนหลับฝันดี ตื่นเช้ามาสดชื่นแจ่มใส ^^

ซอ จียอน ขาว สวย หมวย น่ารักแบบนี้จะโสดได้ไง?

กำลังเป็นประเด็นในชาวเน็ตได้ติดตาม สำหรับคู่รักหวาน ซอ จียอน กับ อาร์ เดอะสตาร์ หรือ อาร์ อาณัตพล ที่อยู่ดีๆ ฝ่ายหญิงก็ลบรูปคู่สวีทหวานกับแฟนหนุ่มในอินสตาแกรมหมดเกลี้ยง งานนี้ทำเอาหลายคนคิดว่าทั้งคู่ เลิกกัน?
แต่ล่าสุดมีแหล่งข่าวจากคนใกล้ชิดยืนยันว่า ทั้งคู่แค่งอนกันเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ยังไม่ได้เลิกกันแต่อย่างใด ตอนนี้ก็เหมือนจะปรับความเข้าใจและคืนดีกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


จบเรื่องรักๆ เลิกๆ ไปก่อน สาวๆ รู้มั๊ยคะว่า ซอ จียอน สาวสวยหุ่นดีจากเกาหลีคนนี้เค้าอยู่ประเทศไทยมานานตั้งแต่อายุ 11 ปีแล้วนะคะ ที่ผ่านมาเธอมีชื่อเสียงจากผลงานเพลง สอนภาษารัก และละคร นัดกับนัด ที่ทำเอาหนุ่มหลงรักลุคใสๆ ตลกโก๊ะๆ พูดภาษาไทยชัดบ้างไม่ชัดบ้าง จุดนี้แหละที่เป็นเสน่ห์ให้หลายคนหลงรักเธอมากขึ้นไปอีก


สำหรับสาวๆที่อยากจะอัพเดทความน่ารักและรูปร่างฟิตแอนด์เฟิร์มของ จียอน วันนี้เกรดดี้จะพาไปย้อนวันวานตั้งแต่สมัยเข้าวงการมาจนถึงปัจจุบัน เห็นแล้วต้องบอกเลยว่าน่ารัก น่าทะนุถนอมขนาดนี้ หนุ่มอาร์จะทิ้งลงคงจะยากแล้วละค่ะ

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

นี่…กำลังจ้องจอคอมหรือเงยหน้ามองฟ้ากันแน่

นี่…กำลังจ้องจอคอมหรือเงยหน้ามองฟ้ากันแน่ สารภาพมาซะดีๆ ตื่นเช้ามาสิ่งแรกที่หยิบคือ Smart Deviceทั้งหลาย แล้วก็เริ่มอัพสเตตัส แถมก่อนนอนก็ยังขอสแครชจนกว่าจะง่วง แถมระยะหลังยังมีข่าวเรื่องจอประสาทตาเสื่อม ทั้งเรื่องแสงสีฟ้า โอ้ย…น่ากลัว อย่าเพิ่งตื่นตระหนกค่ะ ไปถามผู้เชี่ยวชาญดีกว่า


Q: การใช้แท็บเล็ตตอนปิดไฟกลางคืน ส่งผลเสียกับดวงตาของเราได้มากแค่ไหน เคยได้ยินเรื่องแสงสีฟ้าจากจอของอุปกรณ์เหล่านั้น ไม่ทราบว่าอันตรายหรือเปล่าคะ
A :แสงสีฟ้าจากจอคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตไม่ได้มีความเข้มข้น หรือรุนแรงไปกว่าแสงสีฟ้าที่ได้รับจากแสงแดดในช่วงกลางวัน การใช้สายตากับจอคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตจึงเปรียบได้กับการที่เราใช้สาย ตากลางแดดเป็นเวลานานขึ้น ซึ่งไม่ส่งผลเสียรุนแรงในระยะสั้น แต่อาจส่งผลต่อแนวโน้มการเกิดจอประสาทตาเสื่อมตามวัยที่สูงขึ้นเมื่ออายุมาก ขึ้นได้ อย่างไรก็ดีการใช้จอคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตต่อเนื่องกันเป็นเวลานานจะส่งผล ต่อกล้ามเนื้อตา
ทำให้เกิดอาการตาล้าและพร่ามัวได้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุของสายตาสั้นเทียมในเด็ก และสายตายาวเร็วขึ้นในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ดังนั้นจึงแนะนำว่าเราควรใช้อุปกรณ์เหล่านี้เท่าที่จำเป็น และควรมีการพักสายตาเป็นช่วงๆ เช่น หยุดพักสายตาทุกชั่วโมง เป็นเวลาประมาณ 5-10 นาที โดยการหลับตา หรือมองไปไกลๆ และไม่พักสมองและสายตาด้วยการโดยการอ่านหนังสือหรือเล่นเกมส์ เพราะการทำอย่างนั้นไม่ใช่การผ่อนคลายกล้ามเนื้อตาค่ะ

เมื่อ “ประจำเดือน” กลายเป็นประจำปี

เมื่อประจำเดือนกลายเป็นประจำปี
คอลัมน์ คุยกับหมอพิณ
พ.ญ.พิณนภางค์ ศรีพหล
email:doctorpin111@gmail.com

สวัสดีค่ะ สัปดาห์นี้ เราจะมาคุยกันถึงเรื่อง เมื่อประจำเดือนของคุณผู้หญิง ไม่ได้มาเป็นประจำทุกเดือน แต่รอบประจำเดือน กลายเป็นรอบประจำ 2 เดือน 3 เดือน บางคนถึงขั้นกลายเป็นรอบประจำปี
การที่คุณผู้หญิงประจำเดือนมา สม่ำเสมอ แต่ 2-3 เดือนมาครั้งจนคิดว่าเป็นเรื่อง "ปกติ"
จริง ๆ แล้วการที่รอบเดือนห่างมากกว่า "35 วัน" ถือเป็นความ "ผิดปกติ" นะคะ
เพราะรอบเดือนที่ปกติของคุณผู้หญิง คือรอบละ 21-35 วัน
นับจากวันแรกของรอบเดือน ถึง วันก่อนที่ประจำเดือนรอบถัดไปจะมา ยิ่งถ้าไม่มานานเกิน 3 เดือน (ในคนที่ก่อนหน้านี้มาเป็นประจำทุกเดือน)
หรือไม่มาติดต่อกันนาน 6 เดือน (ในคนที่มาบ้าง ไม่มาบ้าง) ถือว่า เกิดภาวะขาดประจำเดือนเข้าแล้ว ควรพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและรักษานะคะ
แล้วทำไมรอบเดือนที่ห่าง หรือนาน ๆ มาที เราต้องเดือดร้อนกันด้วย ดีเสียอีก ประหยัดค่าผ้าอนามัยด้วย
การที่รอบเดือนนานกว่า 35 วัน อาจจะบ่งบอกถึงความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ในร่างกายคุณผู้หญิงได้ค่ะ
และการที่ประจำเดือนรอบห่างมาก ๆ นาน ๆ เข้า ยามเราแก่เฒ่า เราอาจจะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งโพรงมดลูกได้ด้วย ...ฟังดู เริ่มน่าจะเดือดร้อนแล้วใช่ไหมคะ
การที่ประจำเดือนนานๆมาที ในเด็กสาว ๆ ที่เพิ่งจะมีประจำเดือน หรือคุณพี่ที่ใกล้ ๆ วัยทอง ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ค่ะ เพราะในเด็กสาว ๆ วัยที่เพิ่งจะมีประจำเดือน ระบบฮอร์โมนในร่างกาย ยังไม่เข้าที่เข้าทาง
โรงงานรังไข่เพิ่งเปิดทำการ ไข่ตกบ้างไม่ตกบ้าง ประจำเดือนก็มานาน ๆ ครั้งได้
ส่วนในคุณพี่ที่เข้าใกล้วัยทอง โรงงานรังไข่ใกล้ปิดตัว ระบบฮอร์โมนในร่างกายเริ่มจะแปรปรวน ประจำเดือนก็เริ่มนาน ๆ มาทีได้ จนหายไปเลยก็เป็นเรื่องที่ปกติค่ะ
นอกนั้นคุณผู้หญิง ที่ไม่ได้เพิ่งมี หรือกำลังจะหมด การที่ประจำเดือนมาห่างกว่า 35 วัน เกิดได้หลายสาเหตุ
- ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ เป็นโรคฮอตฮิตในคุณผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์เลยล่ะค่ะ
นอกจากอาการที่ประจำเดือนจะมานาน ๆ ที ยังพ่วงความไม่สวยงามมาด้วย อันได้แก่ ความอ้วน สิว หน้ามัน ขนดก แถมยังพ่วงความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ อย่าง เบาหวาน ความดัน โรคมะเร็งในโพรงมดลูกอีกด้วย
- ผลข้างเคียงจากการคุมกำเนิด เช่น การรับประทาน ยาคุมกำเนิดต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- การออกกำลังกายที่หนักเกินไป : ในสาว ๆ ที่ออกกำลังหนักมาก เช่น วิ่งเอาโล่ นักกีฬาทีมชาติซ้อมเอาเหรียญ การออกกำลังกายที่หนักจนเกินไป ก็จะทำให้ไข่ไม่ตก ประจำเดือนก็จะนาน ๆ มาครั้งได้เช่นกันค่ะ
- การคุมอาหารหนักมาก ในสาว ๆ ยุคปัจจุบัน ที่บางคนกลัวอ้วนมากกว่ากลัวตาย รับประทานแบบแมวดม อดข้าว หรือ กินแล้วล้วงคอ
- น้ำหนักที่ขึ้นเร็วลงเร็ว เกินไป
- ตั้งครรภ์ บางคนประจำเดือนนาน ๆ มาทีประจำเดือนหายนานๆก็ไม่ใช่เรื่องแปลก รู้ตัวอีกที ลูกก็ดิ้นซะแล้ว
- ภาวะเครียด บางคนเครียดเรื่องงาน เครียดเรื่องสอบ ประจำเดือนก็ขาด หรือนาน ๆ มาทีได้เช่นกันค่ะ
- นอกจากนี้โรคไทรอยด์เป็นพิษ ก็ทำให้ประจำเดือนห่างด้วยเช่นกัน ร่วมกับอาการ หิวบ่อยใจสั่น น้ำหนักลด
เห็นไหมคะ ว่าการที่ประเดือนนาน ๆ มาที อาจจะเป็นอาการหนึ่งของความผิดปกติในร่างกายอื่น ๆ ก็เป็นได้นะคะ ดังนั้น หากประจำเดือนของคุณมารอบนานกว่า 35 วัน
โดยนับจาก วันแรก ถึงวันสุดท้ายก่อนที่ประจำเดือนจะมารอบถัดไป
อย่าลืมแวะไปหาคุณหมอสูตินรีเวชใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน ท่านนะคะ
สุดท้ายนี้ จะนับอย่างไรให้แม่นยำก็ต้องอย่าลืม "จด" ประจำเดือนกันด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ

แต่งตัวแบบไหน ให้ดูขายาว

ผู้หญิงเป็น เพศที่ละเอียดอ่อน ยิ่งเป็นอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองแล้วผู้หญิงมักจะทุ่มเวลาเต็มที่ และเสาะหาทุกวิธีทางที่จะทำให้ตัวเองดูดี จึงไม่ผิดกับคำนิยามว่า ผู้หญิงอย่าหยุดสวย วันนี้เราเลยแอบเอาเทคนิคการแต่งตัวที่จะช่วยให้ช่วงขาของสาว ๆ ดูเรียวยาวขึ้นมาฝากกัน

สวมรองเท้าสีนู้ด หา รองเท้าส้นสูงสีนู้ดหรือสีเนื้อสไตล์เจ้าหญิงเคท มิดเดิลตัน ที่ดูกลมกลืนไปกับสีผิวมาใส่ เพราะสีนู้ดที่ดูกลมกลืนและไม่ตัดกันกับสีผิวนั้น จะช่วยทำให้ช่วงขาดูยาวขึ้น
เพิ่มประกายระยิบระยับให้เรียวขา ด้วยการทาแป้งหรือครีมทาผิวที่มีส่วนผสมของกลิตเตอร์ระยิบยับบริเวณหน้าแข้ง จะช่วยทำให้ขาดูเรียวและมีมิติจากประกายของช่วงกระดูกที่โดดเด่น ขาสวยด้วยโมโนโทน
การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าในโทนสีเดียวกันจะทำให้รูปร่างดูสูงเพรียวขึ้น ด้วย การหลอกตาของสีที่กลมกลืน สีโทนเดียวกันในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นสีเดียวกันเป๊ะ แต่ให้เลือกโทนสีที่ใกล้เคียงกัน อย่างเช่น สีฟ้าก็สามารถใช้สีฟ้าในหลายเฉดสีที่ใกล้เคียง เพียงแค่เล่นสีที่มีความอ่อนหรือแก่ต่างกันเท่านั้น
เสื้อผ้าลายทางลง การ ใส่กระโปรงหรือกางเกงลายเส้นเป็นทางลงจะทำให้ดูขาเรียวยาวขึ้น ในทางตรงกันข้ามการใส่เสื้อผ้าลายขวางก็จะทำให้ขาของคุณสาว ๆ ดูต้นเป็นเสาตอม่อได้อีกด้วย
กระโปรงทรงดินสอ แฟชั่นย้อน ยุคหรือแฟชั่นวินเทจที่กำลังอินเทรนด์ตอนนี้ มีข้อดีตรงที่กระโปรงทรงวินเทจ อย่างกระโปรงทรงดินสอเข้ารูปที่มาตามวิคตอเรีย เบคแฮม ใส่อยู่เนืองนิจ มีส่วนช่วยทำให้สาว ๆ ดูมีสะโพกและมีช่วงขาที่เรียวสวยเป็นที่สุด กระโปรงหรือกางเกงเอวสูง ทำ ให้ช่วงตัวด้านล่างดูมีความยาวมากขึ้นจากการที่รอบเอวอยู่สูงขึ้นไป
หากเป็นกางเกงขายาวให้ใส่กางเกงที่ปลายขายาวกว่าข้อเท้าลงไปนิดหน่อย โดยใส่คู่กับรองเท้าส้นสูงจะยิ่งทำให้ช่วงขาดูยาวขึ้นได้อีก
สำหรับกระโปรงเอวสูงนั้นถ้ามั่นใจว่าขาไม่ใหญ่ ก็สามารถใส่กระโปรงเอวสูงสั้นเพื่อโชว์เรียวขาที่ดูเพรียวได้เช่นกัน แต่สำหรับคนที่มีต้นขาอวบให้ใช้กระโปรงเอวสูงที่มีความยาวพอดีเข่าหรือเลย เข่าลงมานิดหนึ่งก็จะทำให้ขาดูยาวและเรียวได้สัดส่วน การแต่งตัวจะสนุกได้เมื่อเราแต่งออกมาแล้วสวย ดูดี มีคนชม
แต่หากแต่งตามแฟชั่นอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงการแก้ไขข้อบกพร่อง แทนที่จะน่ามองมันกลับทำให้คุณดูหมองไปทันตา อย่าลืมว่าตามแฟชั่นได้ แต่อย่าทิ้งความเป็นตัวของตัวเองไปด้วยนะคะสาว ๆ

เขียนตาเฉี่ยวเวอร์ เทรนด์ใหม่สาวเกาหลี คุณกล้าไหม?

"เขียนตา" เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการแต่งหน้าสุดเริ่ด ที่สามารถเปลี่ยนลุคคุณผู้หญิงได้แบบง่ายๆ โดยไม่ต้องหันไปพึ่งศัลยกรรมเลยค่ะ
ใครจะไปคิดว่าแค่ "การเขียนตา" จะเปลี่ยนสาวหมวยให้ตาโต สาวตาไม่เท่ากันก็เปลี่ยนให้เท่ากันได้ หรือปรับรูปตาให้สวยตามแบบต่างๆ ได้อย่างง่ายดายละคะ สมัยนี้แค่มี "อายไลเนอร์" อันเดียว ชีวิตเปลี่ยน
ไม่เชื่อตามมาดูกันค่ะ

Blog ของชุมชนเกาหลีสุดฮอตชื่อว่า "Pann" ได้พูดถึงเทรนด์การแต่งหน้าสาวเกาหลีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยการเขียนตาให้ดูเฉี่ยว เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับสาวๆ บางกลุ่ม นิยมเขียนตาให้เฉี่ยวเวอร์เกินพอดี จนบางครั้งก็พูดได้เลยว่าแอบน่ากลัวไปจริงๆ นะ
เทรนด์เขียนตาเวอร์ๆ ของสาวเกาหลี จะเป็นเช่นไร สวยเข้าตา น่านำไปแต่งตามหรือไม่ มีมาให้ชมในความสะพรึงแล้วค่ะ

โกอินเตอร์เบาๆ น้ำตาล เพชรพราว เเอร์ฯไทย โผล่ MV Girls Generation

เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย เมื่อ แอร์โฮสเตสสาวไทย น้ำตาล เพชรพราว ณ ลำปาง โผล่ปรากฎตัว ในมิวสิควิดีโอเพลง Party เพลงใหม่ของ Girls’ Generation
 
เปืดตัวในยูทูบเมื่อวันที่ 7 ก.ค. กับมิวสิควิดีโอเพลง Party เพลงใหม่จากสาวๆ เกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี "เกิร์ล เจนเนอเรชัน" (Girls’ Generation) คนดูก็ทะลุล้านวิวเพียงไม่กี่ชั่วโมง ล่าสุดยอดวิวปาเข้าไป 6 ล้านกว่าวิว (วันที่ 9 กรกฏาคม) เรียบร้อยแล้ว
นอกจากความฮอตของสาวๆ "Girls’ Generation" แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่สะดุดตา สะดุดใจคนดูไทย คงหนีไม่พ้น แอร์โฮสเตสสาวสวย ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมใน MV เพลงนี้ด้วย
โดยใน MV เพลง Party "น้ำตาล เพชรพราว ณ ลำปาง" เข้าฉากไม่กี่วินาที แต่มาพร้อมกับการไหว้ต้อนรับที่อ่อนช้อยและรอยยิ้มที่สวยงาม เพื่อต้อนรับสาวๆ "เกิร์ล เจนเนอเรชัน" บนเครื่องบินของสายการบินไทย (ผู้สนับสนุนการเดินทางให้กับศิลปิน เกิร์ล เจนเนอเรชัน) เรียกว่าสร้างความภูมิใจให้คนไทยอย่างมาก
สำหรับ "น้ำตาล เพชรพราว" เป็นนางฟ้า "แอร์โฮสเตสของสายการบินไทย" เธอสวย หน้าหวานแบบไทยแท้ๆ แถมมีดีกรีเป็นถึง Miss Mobile Thailand 2009 เเละเป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดสาวงาม Miss Thailand Universe 2009 อีกด้วย

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

10 ข้อควรรู้สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์

การใส่คอนแทคเลนส์ ย่อมมีความเสี่ยงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเลนส์ตาโตอย่างบิ๊กอาย หรือเลนส์ตาใส เลนส์ทุกชนิดทำให้เราติดเชื้อได้ทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อใส่แล้วเราควรที่จะตรวจเช็คอยู่ตลอด ทั้งสภาพของคอนแทคเลนส์ อุปกรณ์ที่ใช้เช่น น้ำยา ตลับ และที่สำคัญคือความสะอาดของอุปกรณ์ที่ใช้รวมไปถึงมือของเราเองด้วย และควรที่จะทราบข้อควรระวังของการใส่คอนแทคเลนส์ เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี ควรสวมใส่อย่างถูกวิธี และก็ตามมาดูข้อควรระวังหรือข้อควรปฏิบัติในการสวนใส่คอนแทคเลนส์ทั้ง 10ข้อ กันเถอะ
ขอบคุณภาพประกอบ http://www.popsugar.com/
1.แช่คอนแทคเลนส์ด้วยน้ำย่แช่ทิ้งไว้ 1 คืนก่อนใส่
หากมีน้ำยาละลายคราบโปรตีนก็สามารถนำมาผสมกับน้ำยาแช่ได้ เพื่อล้างสารกันบูดออกไป ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายต่อดวงตาของเรา
2.ล้างมือทุกครั้งก่อนใส่และถอดคอนแทคเลนส์
ควรจะล้างมือให้สะอาดทุกครั้งไม่ว่าจะถอดหรือใส่คอนแทคเลนส์ หรือทำความสะอาดเลนส์เพราะเราจะต้องใช้มือสัมผัสเลนส์ทุกครั้ง
3.เปลี่ยนน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์ทุกวัน
การใช้น้ำยาแช่คอนแทคเลนส์ซ้ำๆซักสองสามวันติดกัน อาจจะทำให้เราได้อะไรที่เป็นอันตรายต่อดวงตาเรากลับมา การทำอย่างนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดอันตรายจากการติดเชื้อเท่านั้น เพราะอาจจะทำให้เกิดผลร้ายต่อคอนแทคเลนส์ของเราและทำให้การมองเห็นผ่านคอน แทคเลนส์ของเราพร่ามัวอีกด้วย เพราะฉะนั้นอย่าลืมเปลี่ยนน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์และทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ ทุกๆวันด้วยนะคะ
4. ห้ามใช้น้ำประปา ล้างหรือแช่คอนแทคเลนส์
อันนี้ สำคัญมาก เพราะคลอรีนในน้ำประปาอาจจะทำให้เนื้อคอนแทคเลนส์เสื่อมสภาพ แล้วฉีกขาดง่าย ส่งผลร้ายต่อกระจกตาของเราอย่างรุนแรง ควรล้าง และแช่คอนแทคเลนส์ในน้ำยาสำหรับล้างและแช่คอนแทคเลนส์เท่านั้น
5.ห้าม! นอนหลับพร้อมคอนแทคเลนส์เด็ดขาด
แต่เพื่อ อายุการใช้งานที่แน่นอนและยืนยาวมากกว่าสาวๆต้องถอดคอนแทคเลนส์ทุกๆคืน มากไปกว่านั้นการใส่คอนแทคเลนส์ในตอนหลับยังไม่ดีต่อดวงตาของเราอีกด้วย เพื่อให้ดวงตาของเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ อย่าลืมถอดคอนแทคเลนส์ก่อนนอนกันด้วย
6.ใส่คอนแทคเลนส์ก่อนแต่งหน้า
ควรจะใส่คอนแทคเลนส์ ให้เรียบร้อยก่อนการแต่งหน้า เพื่อป้องกันปัญหาเครื่องสำอางรอบดวงตาเละ หรือหลุดเข้าไปทำร้ายรอบดวงตาของเราได้น และเวลาที่เราต้องล้างเครื่องสำอางออก เราก็ต้องถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อนเช่ด้วยนะคะ
7.ไม่ควรใส่เกินวันละ8ชั่วโมง
ถ้าใส่ติดต่อกันยาว นานเกินวันละ 8 ชั่วโมง ก็จะทำให้ดวงตาของเราขาดออกซิเจน ต้องระวังกันให้ดีนะคะเพราะถ้าดวงตาขาด ออกซิเจนติดต่อกันนานมากๆ อาจจะส่งผลเสียขนาดทำให้ตาบอดได้เลย
8.ต้องตัดเล็บให้สั้น
เพื่อไม่ให้เกิดอันตราต่อดวง ตาและรอยขูดขีดกับคอนแทคเลนส์ของเรา อย่าลืมตัดเล็บของเราให้สั้น อย่างน้อยก็แค่เล็บนิ้วที่เราต้องใช้ถอดและใส่คอนแทคเลนส์ก็ยังดี ถ้าไม่ระวังเล็บอาจจะจิกลงในเนื้อตาของเรา ทำให้เป็นรอยขีดข่วน เสี่ยงต่อการอักเสบอีกด้วย
9.ตลับคอนแทคเลนส์ควร “เปลี่ยนทุกๆเดือน”
คุณหมอและ ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตาหลายๆคนแนะนำให้เราเปลี่ยนตลับคอนแทคเลนส์ทุกๆ 2- 4 สัปดาห์ เพราะตลับใส่คอนแทคเลนส์นี่แหละที่จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคอย่างดี หากไม่เปลี่ยนหรือไม่ทำความสะอาด
10.เมื่อมีปัญหากับดวงตาห้ามใส่คอนแทคเลนส์
ถ้า กำลังอยู่ในช่วงแสบตา ตาแดง ตาอักเสบ ช่วงเวลาเหล่านี้งดการใส่คอนแทคเลนส์แบบเด็ดขาด รอให้ดวงตาของเรากลับสู่สภาวะปกติซะก่อน อย่าฝืนถ้าสำหรับคนที่มีค่าสายตาให้ใส่แว่นไปก่อน หรือบางคนที่ใส่เปลี่ยนสีดวงตาให้พักก่อน

เทคนิคง่ายๆสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง

ไลฟ์สไตล์ไหนก็มั่นใจ เมื่อ “แผ่นอนามัย” ก็มีแบบแอนตี้แบคทีเรีย

ใครจะเชื่อว่าสาวๆ ยุคนี้มีไลฟ์สไตล์หลากหลายไม่แพ้หนุ่มๆเลยทีเดียว

หลาย คนเริ่มต้นวันดีๆด้วยการออกกำลังกายต่อด้วยเดินทางไปทำงานหรือเรียน จากนั้นตั้งใจสุดๆกับงานตรงหน้าทั้งวัน รู้ตัวอีกทีสาวๆก็ต้องแบ่งเวลาให้กับเพื่อน คนรัก หรือครอบครัวด้วยการออกไปแฮงค์เอ้าท์ในช่วงเย็น แถมวันหยุดยังสรรหากิจกรรมพิเศษ เช่น ถ่ายรูป ปั่นจักรยาน ออกเดินทางท่องเที่ยว และงานอดิเรกอื่นๆ ตามความชอบ

Credit : pinterest.com
ทุกไลฟ์สไตล์ในฝันของ สาวๆเป็นจริงได้เพียงแค่มีความมั่นใจและไร้ความกังวลในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความสะอาดของจุดซ่อนเร้นซึ่งถือเป็นบริเวณที่สาวๆต้องใส่ใจ เป็นพิเศษ เพราะหากจุดซ่อนเร้นไม่สะอาด ปัญหาเรื่องกลิ่นอับชื้นก็จะตามมา ทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างไม่มั่นใจและทำกิจกรรมสุดโปรดได้ไม่เต็มที่


สะดวกสบายทุกไลฟ์สไตล์แค่มีแผ่นอนามัยเป็นไอเท็มคู่ใจ
สาวๆ หลายคนจึงเลือกใช้ตัวช่วยอย่างแผ่นอนามัย เพราะใช้ได้ทุกวันหรือบางคนใช้เป็นประจำในช่วงก่อนและหลังมีประจำเดือน ด้วยคุณสมบัติที่ให้ความสะอาด สดชื่น และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ ทำให้แผ่นอนามัยกลายเป็นไอเท็มติดตัวของสาวๆไปแล้วเพราะขนาดเล็กกะทัดรัด พกพาสะดวกสุดๆ และยังเป็นตัวช่วยที่ดีในการรักษาความสะอาดป้องกันรอยเปื้อนบนกางเกงชั้นใน สาวๆจึงทำความสะอาดกางเกงชั้นในได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าควรเปลี่ยนแผ่นอนามัยทุก 3-4 ชั่วโมง เพื่อความสะอาดและป้องกันความอับชื้นนั่นเอง

แอนตี้แบคชีท ฟังก์ชั่นล่าสุดของแผ่นอนามัยเพื่อผู้หญิงยุคใหม่

นอกจากการรักษาความสะอาดและเปลี่ยนแผ่นอนามัยเป็นประจำแล้ว การเลือกใช้แผ่นอนามัยที่มีคุณสมบัติลดกลิ่นอับชื้นก็สามารถเพิ่มความมั่นใจ ของสาวๆ ให้มากขึ้นไปอีกแถมล่าสุดมีการออกสินค้าแผ่นอนามัยที่มี “แอนตี้แบคชีท”หรือแผ่นซึมซับสีเขียวที่มีคุณสมบัติพิเศษช่วยลดการสะสมของ แบคทีเรียสาเหตุกลิ่นอับชื้นได้โดยตรง ทำให้สะอาด แห้งสบายตัว ไม่เหนียวเหนอะหนะและหมดกังวลเรื่องกลิ่นอับชื้นที่จุดซ่อนเร้นไปได้เลย

เมื่อไม่มีความเหนียวเหนอะหนะและกลิ่นอับมากวนใจ จะกี่ไลฟ์สไตล์ก็เคลื่อนไหวได้มั่นใจสุดๆ

3 วิธีปรับเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวก

ความคิดของเรา สามารถกำหนดได้ว่าเราจะมีทัศนคติอย่างไร คิดบวกชีวิตก็มีความสุข แต่ใครที่กำลังคิดลบชีวิตดูจะมืดมนไปหมด อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ พาลให้หงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี ChicMinistry มีคำแนะนำสำหรับการเปลี่ยนตัวเองด้วย 3 วิธีง่ายๆให้กลายเป็นคนคิดบวกมาฝากค่ะ
1.ปล่อยวาง
อย่างแรกเราต้องปล่อยวางและลืมเรื่องที่ทำให้เป็นทุกข์ หยุดความกลัว ความกังวล หยุดตั้งคำถามในเชิงลบ เพื่อให้สมองปลอดโปร่ง พร้อมเปิดรับกับสิ่งดีๆที่จะเข้ามาเปลี่ยนทัศนคติของเราค่ะ

2.รู้จักคำว่า “ช่างมันเถอะ”
แต่ละวันเรามักเจอกับเรื่องต่างๆมากมายทั้งร้ายทั้งดี เรื่องไหนที่คิดแล้วหงุดหงิดใจ ให้บอกกับตัวเองว่า “ช่างมันเถอะ” เก็บเรื่องแย่ๆทิ้งลงถังไปซะ แล้วเริ่มต้นใหม่ คิดถึงสิ่งที่เรากำลังจะทำต่อจากนี้ คิดว่าเรากำลังจะทำสิ่งดีๆเพื่อตัวเอง

3.ให้กำลังใจตัวเอง
กำลังใจที่สำคัญที่สุด ก็คือกำลังใจจากตัวเอง พยายามคิดอยู่เสมอว่า “ฉันทำได้” “ฉันมั่นใจว่าฉันทำได้” แล้วทำออกมาให้สุดความสามารถ หากทำด้วยใจที่ตั้งมั่นจริง ผลงานจะออกมาเป็นที่น่าพอใจเลยทีเดียว
เห็นมั้ยคะว่าการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนคิดบวกนั้นไม่ยากเลย ลองนำวิธีของ ChicMinistry ไปใช้ดูนะคะ

บอกลารอยคล้ำใต้ตาง่ายๆ ด้วยอุปกรณ์ในครัว

“รอยคล้ำใต้ตา”เป็นผลมาจากหลอดเลือดดำบริเวณตาขยายใหญ่ หรือทำให้เม็ดสีเมลานินมากขึ้นจึงทำให้ใต้ตาดำคล้ำ เกิดได้จากหลายๆ สาเหตุอาจจะเกิดจากการนนอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ รอยหมองคล้ำใต้ดวงจะเป็นจุดที่เราเห็นง่ายมากเพราะอยู่ใกล้ดวงตา และส่งผลทำให้ใบหน้าดูโทรมด้วย สาวๆบางคนก็เลือกที่จะใช้คอลซีลเลอร์ในการปกปิดรอยคล้ำในระยะเวลาชั่วคราว แต่วันนี้เรามีวิธีดูแลรักษารอยคล้ำใต้ตาแบบระยะยาว และก็เป็นอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายๆในครัวมาฝากกัน

ขอบคุณรูปภาพประกอบ http://www.stylecraze.com/
1.ถุงชา การประคบด้วยถุงชาที่ใช้แล้วแบบแช่เย็น วางไว้บนเปลือกตาสองข้าง แล้วนำมาวางไว้ที่ตา ประมาณ 15-20 นาที วันละครั้ง จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด และลดการบวมรอบๆ ดวงตาได้ และจะช่วยให้อาการอ่อนล้าดีขึ้น
2.น้ำแข็ง วิธีนี้ง่ายนิดเดียว เพียงนำน้ำแข็งมาบดสักเล็กน้อย ห่อด้วยผ้าแล้วนำมาวางบนเปลือกตาประมาณ 10 นาที หรืออาจจะกดวางเบาๆ บริเวณรอบดวงตาก็ได้ แค่นี้ก็ทำให้ผิวรอบดวงตาดูชุ่มชื่น ดูดีขึ้นและหายคล้ำได้แล้วล่ะ


3.ลูกแพร์ ฝานลูกแพร์บางๆ แล้วนำมาวางใต้ดวงตา (ให้ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง) สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีในลูกแพร์จะช่วยฟื้นฟูผิวรอบดวงตาได้
4.นมสด นำสำลีก้อนกลมๆ ไปจุ่มกับนมสดแช่เย็น แล้วนำมาวางรอบดวงตาเพื่อช่วยทำให้รอยคล้ำจางไป โดยสูตรเหล่านี้ให้วางทิ้งไว้บนเปลือกตาประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออก
5.กล้วย เพียงแค่นำกล้วยมาหั่นเป็นแว่นบางๆ แล้วนำมาวางไว้บนเปลือกตาประมาณ 15 นาที ก็จะได้ผิวใต้ตาที่นุ่มนวล ลดรอยเหี่ยวย่นไปได้เยอะเลย
6.แตงกวา นำแตงกวาไปแช่จนเย็น หั่นเป็นชิ้นบางๆ และนำมาวางไว้ที่บริเวณดวงตา ใช้ฝ่ามือกดบริเวณตาเบาๆ เพื่อให้แตงกวาติดกับผิวหนัง ควรทำอย่างนี้ 2-3 ครั้งต่อวัน จะช่วยให้รอยคล้ำบริเวณดวงตาเริ่มจางหายไปทีละน้อย
ลองตามทำดูนะคะ หาได้ง่ายๆจากในครัวมีหลายสูตรให้เลือกและปรับใช้ แต่ยังไงก็อย่าลืมที่จะรักษาและดูและจากภายในคือดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน และก็พักผ่อนให้เพียงพอกันด้วยนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

6 อาชีพที่เปลี่ยนชีวิตเด็กจบใหม่ให้รวยได้

ถ้าฐานะทางบ้านไม่ ได้รวยล้นฟ้าเหลือกินเหลือใช้ หลังจากเรียนจบทุกคนก็ต้องทำงานเพื่อหารายได้มาตอบสนองความต้องการของเราเอง ในด้านต่างๆ แต่หลายคนคงบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องทำอะไรดีนะ ถึงจะได้เงินเยอะๆ วันนี้ ChicMinistry มีคำตอบ

1. พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (Flight Attendant)

แน่นอนอยู่แล้วว่าหนึ่งในอาชีพที่เด็กจบใหม่สามารถหาเงินได้เยอะคือการ เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แต่รายได้ของอาชีพนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่นตำแหน่ง ชั่วโมงบิน ฯลฯ การทำอาชีพนี้สามารถทำเงินได้ตั้งแต่ 30K บางสายการบินสามารถให้ได้ถึง 100K อัพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของสายการบินนั้นๆ อัตราการจ่ายเงิน จำนวนชั่วโมงบินของเรา และจุดหมายปลายทางที่เราไป นอกจากจะได้เงินเป็นกอบเป็นกำแล้ว ยังได้เที่ยวเปิดประสบการณ์ใหม่รอบโลกอีกด้วย การทำอาชีพนี้ถ้าเป็นสายการบินแถบเอเชียต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ถ้าเป็นสายการบินแถบตะวันออกกลางจบมัธยมก็ได้ แต่ต้องพูดภาษาอังกฤษได้และต้องมีอายุถึงตามที่แต่ละสายการบินกำหนด ถ้าอยากรู้ว่าทำเงินได้ถึงแสนจริงหรือเปล่า ChicMinistry แนะนำให้ไปลองทำงานสายการบินแถบตะวันออกกลางดูนะครับ
Cr. เพื่อนแอร์คนหนึ่ง

2. ล่ามภาษาญี่ปุ่น

ปัจจุบันเด็กจบใหม่ทั่วไปได้รับเงินเดือนอยู่ราวหมื่นปลายๆ แต่ทำอาชีพล่ามแล้ว รายได้เริ่มตั้งแต่ 25-50K ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถทางภาษาและการต่อรองของเรา การทำงานบริษัทญี่ปุ่น ถ้ามีใบรับรองสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) และ TOEIC ก็จะได้ค่าภาษาเพิ่มตามระดับคะแนนที่ได้และอัตราที่บริษัทจ่าย แต่อาชีพนี้ต้องทำหลายหน้าที่หลายอย่างพร้อมกันเช่นล่ามในที่ประชุม แปลเอกสาร ทำหน้าที่เลขา ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ต่างประเทศให้กับเจ้านาย ฟังดูแล้วน่าเครียดเนาะ แต่ไม่แปลกเลยที่รายได้จะเยอะขนาดนี้ ถ้ามีประสบการณ์และทำงานคล่อง สามมารถเรียกได้ถึง 50-100k เลยล่ะ การทำอาชีพนี้ส่วนมากจะจบมนุษยศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ และอักษรศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่นกันมา หรือไม่ก็ต้องเคยไปเรียนหรืออาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นมาก่อน

3. แพทย์

แน่นอนอยู่แล้วล่ะว่าการเป็นหมอ นอกจากจะต้องเรียนเก่งแล้ว ยังต้องเสียสละรักษาคนไข้อีกด้วย เด็กที่จบใหม่สามารถทำรายได้โดยรวมราว 55K ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น เงินเดือน ค่าชั่วโมงในการขึ้นเวร โรงพยาบาล (โรงพยาบาลยิ่งกันดารยิ่งได้เงินเพิ่ม ) ค่าไม่เปิดคลินิก เงิน พ.ต.ส. นอกจากนั้นถ้าหากว่าหมอที่เปิดคลินิกเป็นของตัวเอง สามารถทำรายได้เดือนเป็นแสนเลยนะครับ แต่กว่าจะได้มาซึ่งรายได้ขนาดนี้ หมอต้องเรียนถึง 6 ปีด้วยกันนะครับ แน่นอนล่ะว่าต้องจบจากคณะแพทยศาสตร์มา จบอย่างอื่นคงมาเป็นหมอไม่ได้
Cr. เพื่อนหมอคนหนึ่ง

4. ทันตแพทย์

อาชีพหมอฟันเป็นอาชีพหัตถการที่ทำรายได้สูงอาชีหนึ่ง เด็กที่จบใหม่จากคณะทันตแพทยศาสตร์สามารถทำรายได้รวมๆราวเดือนละ 55K เงินเดือนสายงานด้านนี้จะมีค่าต่างๆเข้ามาเสริมเหมือนกับหมอ เงินเดือนจริงๆไม่เท่าไร น้อยกว่าหมอด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือมาก นอกจากนั้นถ้าไปเรียนต่อเฉพาะทาง ก็จะได้เงินเพิ่มอีกเป็นหมื่นเลยนะ
Cr. เพื่อนหมอฟันคนหนึ่ง

5. วิศวกรปิโตรเลียม

วิศวกรปิโตรเลียมคือผู้ที่ต้องทำงานเกี่ยวกับการเจาะและการผลิตน้ำมัน หรือก๊าชธรรมชาติขึ้นมาจากแหล่งกักเก็บใต้ผิวดิน เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงหากต้องเป็นการทำงานนอกชายฝั่ง หรือทำงานบนแท่นขุดเจาะของบริษัทน้ำมันใหญ่ๆเช่น PTT, Chevron, Slumberger รายได้ทำงานใหม่ๆก็ปาไป 55-60K อันนี้ยังไม่รวมรายวันอีกนะครับ รายวันก็ตีไปวันละ 1300-2500 บาทถ้าต้องออกทะเล แต่ที่นี่จะทำงานกันไม่มีวันหยุด ถ้าหยุดคือหยุดยาวไปเลย สามารถวางแผนเที่ยวได้สบาย แต่อย่างที่รู้กัน การเข้าไปทำงานบริษัทใหญ่ๆนี้ เค้าเล่นสีกัน ต้องจบจากที่นี่ที่เดียวเท่านั้นถึงจะถูกรับเข้าไปทำงาน ดังนั้นการเข้าไปเรียนสาขานี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยเพราะมีแต่หัวกะทิ ระดับประเทศทั้งนั้นที่ไปเรียน
Cr. น้องวิศวกรคนหนึ่ง

6. ดารา นายแบบ นางแบบ

กล้าพูดได้เลยครับว่าอาชีพที่ทำง่ายและได้เงินเยอะที่สุดคือการเป็นดารา บางคนค่าตัวในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ถึง 10 ล้านต่อหนึ่งผลิตภัณฑ์ บางคนค่าตัวหนึ่งแสนต่อการแสดงละครแค่ตอนเดียว อาชีพไม่จำกัดอายุ ขึ้นอยู่กับหน้าตาและความสามารถครับ บางคนหาเงินได้ตั้งแต่เด็ก นอกจากการเป็นดาราแล้ว ยังมีอาชีพอื่นๆที่เกี่ยวข้องกันเช่นนายแบบ นางแบบโฆษณา หากไม่ใช่ดาราที่ดัง ค่าตัวจะอยู่ราว 25-100K ต่อชิ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบทที่ได้รับเด่นหรือยากขนาดไหน แต่กว่าจะได้งานมาแต่ละชิ้น ต้องผ่านการ Casting ก่อนเพื่อให้ลูกค้าดูว่า Character เหมาะแก่การถ่ายโฆษณาชิ้นนั้นหรือไม่ นอกจากการถ่ายโฆษณาแล้ว เรายังสามารถรับงานต่างๆได้อีกด้วยเช่นเป็นพิธีกร เป็น VJ รายการเพลง ถ่ายภาพนิ่งให้สินค้า ก็จะได้ค่าตอบแทนตามที่ตกลง พูดง่ายๆคือมีอิสระการทำงานในวงการบันเทิงนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้ามั่นใจว่าตัวเองหน้าตาดีมากในระดับหนึ่ง ลองไป Cast ตามงานต่างๆ หลังจากเรียนจบดูนะครับ
Cr. เพื่อนนายแบบคนหนึ่ง
เห็นมั้ยล่ะครับว่ายังมีอาชีพที่เด็กจบใหม่สามารถหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ทั้งนี้เราก็ต้องดูว่าเราเหมาะกับอาชีพเหล่านี้หรือเปล่านะ ไม่ใช่ว่าอยากแต่จะได้เงินอย่างเดียว ถ้าเราไม่ชอบแล้วไปทำ เราก็จะไม่มีความสุข แต่ถ้าชอบและได้ทำ รับรองชีวิตเปลี่ยนแน่นอนครับ

มาดูรองเท้าใส่ในหน้าฝนกัน

         ช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกวันเลยค่ะ แต่ก็แปลกนะ ฝนชอบตกตอนเช้าในช่วงเวลาที่เราเร่งรีบ ไม่ก่อนตกอีกทีตอนเย็นช่วงเวลาที่เรากำลังจะกลับบ้าน ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าพอฝนตกพื้นก็เปียก บางพื้นที่ก็มีแอ่งน้ำ =,= แล้วรองเท้าที่ใส่มาถ้าเปียกนะ พังๆๆๆ วันนี้เลยรวบรวมรองเท้าที่สามารถใส่ในหน้าฝนได้โดยที่ไม่ต้องกลัวพังมาฝากกันค่ะ
รองเท้าแตะ
          รองเท้าแตะนั้นถือว่าเป็นทางออกที่ง่ายที่สุดแล้วละค่ะ แต่จะว่าไปต้องเลือกดูให้ดีนะ ว่าที่เราหยิบติดออกมาจากบ้าน หรือใส่เดินออกมานั้น ยังสามารถยึดเกาะกับพื้นได้หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นละก็ งานเข้า ลื่นล้มเอาง่ายๆ เลยนะ
ขอบคุณภาพประกอบ : https://www.facebook.com/jellybunnyThailand
                           https://www.facebook.com/MonoboOfficial
รองเท้าแตะแบบรัดส้น
          สมัยนี้มีรองเท้าที่ทำจากยางพลาสติก สามารถใส่ลุยน้ำได้ออกมาหลายรูปแบบเลยละ รองเท้าประเภทนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สามารถส่วมใส่ได้ตั้งแต่ออกจาก บ้านเลยละจ่ะ
ขอบคุณภาพประกอบ : https://www.facebook.com/hthailand?brand_redir=279202755529218
รองเท้าFlat หรือส้นสูง
          รองเท้าทรง Flat นั้นมีทำจากวัสดุที่สามารถทนน้ำ เปียกได้ออกมาเยอะพอๆ กับรองเท้าแตะเลยค่ะ และสาวๆ ยังสามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาสเลย เพราะจะเรียบร้อยและสุภาพกว่ารองเท้าแตะรัดส้น และสาวๆ ที่ชอบใส่รองเท้าส้นสูงนั้น รองเท้าที่ทำจากวัสดุที่สามารถทนน้ำได้ก็มีค่ะ

ขอบคุณภาพประกอบ : https://www.facebook.com/jellybunnyThailand
รองเท้าบูท
          เชื่อได้ว่าสาวๆ หลายคน คงต้องเคยคิดอยากใส่รองเท้าบูทในหน้าหนาวเมืองไทยบ้างละ แต่! มันติดตรงที่ว่า บ้านเรามันไม่หนาวถึงขั้นนั้นนะสิ อย่าเพิ่งถอยใจไป จะบอกว่าหน้าฝนเนี่ยแหละใส่รองเท้าบูทได้ สาวๆ สามารถเอามาmix and match กับเสื้อผ้า ชุดทำงานได้อย่าสบายเลยละ (แต่แอบกระซิบนิดนึง ตอนอยู่ในออฟฟิศอาจจะเอารองเท้ามาเปลี่ยนซะหน่อย ไม่เช่นนั้นมันจะดูเยอะไปนิดนึงเน๊าะ แหะๆๆ )

ขอบคุณภาพประกอบ : http://cortinsession.com/rain-shine/
          เป็นยังไงคะสาวๆ ได้ไอเดียในการเลือกรองเท้าออกไปสู้กับหน้าฝนไหมละ ช่วงนี้ฝนตกบ่อย รักษาสุขภาพ และอย่าลืมพกร่มติดกระเป๋าไว้ด้วยนะจ่ะสาวๆ

ศึกชิงมง! เมื่อ 2 สาวไทยต้องขึ้นประกวดนางงามเวทีระดับโลก เวทีเดียวกัน

       เพิ่งจะได้สาวไทย งามอย่างไทยคัดเลือกเข้ารอบ 40 คนสุดท้ายไปไม่นานนี้ค่ะ สำหรับเวทีการประกวด Miss Universe Thailand 2015 เวทีที่ค้นหาสาวไทยที่จะเป็นตัวแทนของประเทศไทย เข้าร่วมประกวดในเวทีระดับโลก Miss Universe 2015 เพื่อทำหน้าที่เผยแพร่ชื่อเสียงเกียรติคุณอันดีงามของประเทศไทยไปสู่นานา ชาติ ซึ่งตอนนี้ก็ต้องมารอลุ้นติดขอบเวทีกันค่ะว่า ใคร! จะเป็นผู้ครอบครองมงกุฎในเวทีนี้ไปนั้นต้องคอยติดตามค่ะ

          แต่ตอนนี้มีอีกหนึ่งเวที Miss Universe Great Britain 2015 จากประเทศ Great Britain ที่เพิ่งจะได้ตัวแทนสาวงาม ไปเข้าร่วมประกวดในเวที Miss Universe 2015 เช่นเดียวกันค่ะ โดยสาวสวยที่ได้รับตำแหน่งมีชื่อว่า Narissara Nena France


          Narissara Nena France หรือในขื่อไทย นริสรา นีน่า ฟรานซ์ นั้นเป็นสาวสวยหน้าคมลูกครึ่ง ที่มีเชื้อชาติอินเดียน – ไทย และบริทิส ค่ะ เธอผ่านเวทีการประกวดนางงามมามากมาย และยังได้รับรางวัล ทั้ง Miss London 2013 และ รองอันดับ 2 Miss England 2013 ค่ะ ก่อนที่จะเข้ามาประกวดในสายเวทีนางงามนั้น เธอเคยร่วมเซ็นสัญญาเป็นนางแบบกับ Elite Model Management London มาก่อนในปี 2013 และเธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า “If I wasn’t a model, I’d probably be in Thailand, that’s somewhere I still really want to spend some time in.. I have a lot of family there so I want to get to know them better and learn more about my mothers culture.” (ถ้า ฉันไม่ได้เป็นนางแบบ ฉันก็จะยังอยู่ในประเทศไทย และฉันอยากใช้เวลาอยู่ในประเทศไทยมากที่สุด เพราะที่นั่นมีครอบครัวของฉันอยู่ อยากใช้เวลากับพวกเขาให้มากกว่านี้เพื่อทำความรู้จัก และเรียนรู้วัฒนธรรมไทยตามคุณแม่) ซึ่งสาวหน้าคมคนนี้ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไทยในตัวเขา และหลังจากนั้นก็เริ่มมาเข้าสู่เวทีในสายนางงาม โดยหลังจากนี้ นีน่า ก็จะเริ่มฟิตซ้อม เตรียมความสวยความงามเพื่อไปเข้าร่วมการประกวดในเวทีระดับโลก Miss Universe 2015 ในตัวแทนจากประเทศ Great Britain ค่ะ

          ก็ต้องมาคอยลุ้น คอยจับตาดู เชียร์และให้กำลังใจติดขอบจอกันนะค่ะว่า เมือสองสาวไทยต้องขึ้นชิงมงกุฎในเวทีเดียวกันนั้น ใครจะเป็นผู้ที่ได้รับตำแหน่งและรางวัลอันยิ่งใหญ่ ในเวที Miss Universe 2015 นี้ค่ะ แต่ถึงจะเป็นใครที่ได้รับตำแหน่งก็แล้วแต่ ทั้งคู่ก็ถือว่าได้เป็นสาวไทยที่ได้ขึ้นไปยืนในเวทีระดับโลก และสร้างภาพลักษณ์หน้าตาความสวยความงามของความเป็นไทยค่ะ

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

5 วิธีตีสนิทเพื่อนใหม่ในที่ทำงาน

สำหรับการเริ่มต้นงานในสถานที่ใหม่ๆ หลายคนย่อมกังวลเป็นธรรมดาว่าจะทักทายเพื่อนใหม่ในที่ทำงานอย่างไรให้เกิดความสนิทสนม วันนี้ ChicMinistry มีคำแนะนำมาฝากกันค่ะ

1.กล่าวทักทายแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร สาวๆอาจจะกล่าวคำทักทายสั้นๆอย่างเป็นกันเองพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เพื่อเป็นการเปิดบทสนทนา และสร้างความสนใจให้ฝ่ายตรงข้ามด้วยค่ะ
2.แนะนำตัวเอง ก่อนที่เราจะถามชื่อคนอื่น เราควรที่จะแนะนำตัวเองให้เป็นที่รู้จักก่อน เมื่อกล่าวคำทักทายแล้ว เราต้องแนะนำชื่อจริงหรืออาจจะเป็นชื่อเล่นก็ได้ แล้วจากนั้นค่อยถามชื่อของฝ่ายตรงข้าม
3.ชวนคุยบ้างเป็นบางโอกาส เพื่อเพิ่มความสนิทสนม เราควรชวนคุยในเรื่องต่างๆ อาจจะเป็นเรื่องรอบๆตัวก็ได้ค่ะ อย่างเช่น ”วันนี้รถติดจังเลยนะว่ามั้ย ?” “ไปกินข้าวที่ไหนมาคะ” หรือกล่าวชื่นชมการแต่งกายของเพื่อนว่า “วันนี้แต่งตัวสวยจังเลย” ก็สร้างความประทับใจให้ฝ่ายตรงข้ามได้แล้วค่ะ แต่อย่าชวนคุยมากเกินไปนะคะ เดี๋ยวเจ้านายจะว่าเราได้ค่ะ
4.รู้จักแบ่งบัน เมื่อเริ่มทำงานได้สักพัก เราอาจจะซื้อขนมมาและชวนเพื่อนให้กินขนมกับเรา อาจจะเรียกชื่อเพื่อนแล้วพูดสั้นๆว่า “กินขนมด้วยกันมั้ยคะ” เพื่อนอาจจะตอบรับหรือปฏิเสธก็ได้ ไม่ต้องน้อยใจไปนะคะ แค่นี้ก็เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีอย่างหนึ่งแล้วค่ะ
5.ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การที่เราจะอยู่ในสังคมการทำงานได้อย่างยาวนาน เราต้องรู้จักช่วยเหลือเพื่อนๆร่วมงาน แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องนะคะสาวๆ ช่วยในเรื่องที่เราพอจะช่วยได้และไม่เบียดเบียนงานประจำของเรา อย่างเช่น ช่วยอธิบายงานในส่วนที่เพื่อนไม่เข้าใจ แชร์ความคิดเห็นเมื่อเพื่อนต้องการ เป็นต้น
เพียง 5 วิธีง่ายๆแค่นี้ก็ทำให้เราสนิทกับเพื่อนใหม่ได้อย่างรวดเร็วแล้วด้วยค่ะ สาวๆลองนำไปปรับใช้กันดูนะคะ ไม่ยากเลย

พลาดไม่ได้! กับชุดผลิตภัณฑ์ยอดนิยมจาก NARS

BASIC CLEANSE & BASIC FACE SETS ชุดเซ็ทพิเศษ ขนาดพกพา 2 เซ็ทพิเศษ สำหรับทำความสะอาดใบหน้าและแต่งเติมใบหน้า วางจำหน่ายเดือนมิถุนายน 2558
นาร์สขอแนะนำผลิตภัณฑ์สองชุดพิเศษเพื่อคงความงดงามและความสมบูรณ์แบบให้กับผิวพรรณจากขั้นตอนแรกของกิจวัตรความงามจนถึงขั้นตอนสุดท้ายในการแต่งหน้าเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้แก่กัน

Basic Cleanse Set ชุดผลิตภัณฑ์เพื่อทำความสะอาดผิว 1,550 บาท
สามผลิตภัณฑ์สรรค์สร้างความสะอาดล้ำลึกและหมดจด ด้วย 3 ขั้นตอน,ทำความสะอาดเมคอัพบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก ทำความสะอาดผิวหน้าและปรับสมดุลผิว และขจัดเมคอัพกับสิ่งสกปรกตกค้าง ผ่านความหรูหราขนาดพกพาสำหรับติดตัวระหว่างเดินทาง NARSskin Purifying Foam Cleanser, NARSskin Multi-Action Hydrating Toner และ NARSskin Gentle Oil-Free Eye Makeup Remover ร่วมกันปฏิบัติการขั้นตอนสำคัญเพื่อผิวสดชื่น สดใสได้รับการบำรุงสุขภาพความงามอย่างครบครัน
Basic Face Set ชุดผลิตภัณฑ์แต่งหน้าพื้นฐาน 1,550 บาท
ถนอมสภาพความงามของผิวพรรณอย่างต่อเนื่องตามติดคุณตลอดเวลาด้วยผลิตภัณฑ์ อันจำเป็นอย่างที่สุด : Pro-Prime Pore Refining Primer, ไพรเมอร์เนื้อบางเบาสูตรออยล์ ฟรี อำพรางร่องรูขุมขนในทันทีที่ใช้ พร้อมทั้งควบคุมความมันตลอดทั้งวัน mini Orgasm Blush and Laguna Bronzer duo, คู่สีสันสำหรับพวงแก้มมาพร้อมเฉดสีอันเป็นเอกลักษณ์ของ NARS และ Loose Light Reflecting Setting Powder ตรึงเมคอัพให้สวยเนียนเนิ่นนานอย่างยาวนานตลอดทั้งวัน

เซ็กซ์ท่าโปรด บอกนิสัยผู้ชายได้นะ

นิสัยลึกๆ ของผู้ชายแทบทุกคนชอบความท้าทาย เหมือนเด็กเล็กๆ ที่ชอบลอง เช่นเดียวกับบทเซ็กซ์ของพวกเขา การได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ หลุดพ้นจากความจำเจบ้างในบางครั้งจึงเป็นเรื่องที่น่าลอง แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าพวกเขามักกลับมาทำในสิ่งเดิมๆ ที่คุ้นชินเพื่อให้ตนเองรู้สึกสบายใจอย่าง “เซ็กซ์ท่าโปรด” จึงทำให้เรารู้ได้ว่า


“เขามีนิสัยยังไง หากชอบเล่นท่านี้บ่อยๆ”

1. Doggy – ท่าโปรดของจอมบงการ
ท่านี้ฝ่ายชายเป็นฝ่ายรุกและผู้หญิงเป็น ฝ่ายตั้งรับ ฝ่ายชายยังต้องมีพละกำลังและสมรรถภาพทางเพศสูงเอาการเพราะกว่าจะพาให้บรรลุ ถึงเป้าหมายได้ก็ทำเอาแทบหมดแรงกันไปตามๆ กัน
ความหมายที่ซ่อนอยู่ : เขามีนิสัยจอมบงการ ไม่ตกเป็นลูกน้อง หรือยอมทำตามใครง่ายๆ ที่สำคัญไม่กลัวที่จะต้องลองอะไรใหม่ๆ เขาชอบอยู่เหนือทุกคนและออกคำสั่ง แม้ลึกๆ แล้วเขาจะชอบควบคุมแต่ในเวลาเดียวกันแม้ต้องเจอกับปัญหาเขาก็สามารถพาให้คุณ พบความสมหวังได้ในที่สุด
2. The Cat – ท่าโปรดของนายใหญ่
เป็นท่วงท่าแนบชิดของคู่รัก ฝ่ายหญิงจะนอนทอดกายสบายๆ ราบกับพื้น ส่วนฝ่ายชายนอนทับอยู่ด้านบนหลังจากเสร็จภารกิจเริงรักที่ตัวเองสมหวังแล้ว เขาก็อาจจะผละไปได้อย่างง่ายดาย
ความหมายที่ซ่อนอยู่ : ผู้ชายที่ชอบเล่นท่านี้เป็นประจำ ชี้ว่าเขามักเห็นตนเองเป็นใหญ่ ชอบการเป็นนาย ชอบความเป็นผู้นำจนบางครั้งอาจไม่แคร์ต่อความรู้สึกของผู้อื่นเอาเสียเลย แต่ในทางกลับกันหากคุณคิดว่าคุณสามารถเป็นผู้ตามที่ดีและชอบให้เขาเป็นฝ่าย นำ ความลงตัวของการครองคู่ก็จะเกิดขึ้น
3. Missionary – ท่าโปรดของแฟมิลี่แมน
ผู้ชายที่พอใจกับท่านี้ ถ่ายทอดศิลปะของการเล่นบทรักที่ฝ่ายชายต้องเป็นผู้ประคองพา รุกไล่แต่ลงท้ายด้วยการถึงประตูสวรรค์ไปพร้อมกันทั้งคู่
ความหมายที่ซ่อนอยู่ : เป็นคนที่มีระเบียบวินัย ชีวิตเรียบๆ แต่มั่นคง แม้ลีลารักจะไม่ผาดโผน เร้าใจ ไม่ชอบลองอะไรใหม่ๆ จนหมือนน่าเบื่อ แต่ในทางกลับกันผู้ชายคนนี้แหละที่เป็นผู้นำครอบครัวและเป็นแฟมิลี่แมนที่ดี ยึดมั่นในความซื่อตรง รับผิดชอบต่อหน้าที่เช้าไปทำงาน เย็นรีบกลับบ้านไม่วอกแวก ไม่คิดปันใจให้สาวหน้าไหน
4. Spoon – ท่าโปรดของหนุ่มโรแมนติก
ผู้ชายที่ชอบสนุกกับเซ็กซ์ในท่าสปูน เป็นท่าที่คู่รักจะนอนตะแคงกอดทางด้านหลังไปในทิศทางเดียวกัน และจะเมกเลิฟด้วยการเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนช้าๆ ช่วยส่งให้อารมณ์เคลิบเคลิ้มสั่นไหว
ความหมายที่ซ่อนอยู่ : ชายผู้นั้นมีอารมณ์สุดแสนจะโรแมนติก เขามองเห็นว่าคู่ของเขาเป็นคนพิเศษเสมอ ชายที่แสนโรแมนติคเต็มไปด้วยความรัก ความเคารพ การให้เกียรติและเปี่ยมด้วยความสุภาพ เขาพร้อมที่จะมอบความอบอุ่นให้คนรักได้อย่างเต็มที่ เขามักแสดงความรักความอาทรต่อคู่ประหนึ่งเธอคือดอกไม้ที่บางเบา แต่จะไม่ลืมที่จะทำเซอร์ไพรส์ให้คุณได้ปลื้มทุกครั้งเมื่อถึงโอกาสพิเศษ
กิจกรรมแอบเล่นรักตามสถานที่สาธารณะจัดว่าเป็นการปฏิบัติเริงรักที่เร้า อารมณ์ให้คู่รักได้เสพสมความสุขไปพร้อมๆ กับความตื่นเต้นเร้าใจอย่างแท้จริง ซึ่งแน่นอนว่าหากผู้ชายของคุณชอบงัดไอเดียชวนคุณมีเซ็กซ์ตามสถานที่แปลกๆ เขาต้องมีนิสัยชอบความตื่นเต้นท้าทายกล้าได้กล้าเสียแน่ๆ ถ้าคุณชอบและมีความผาดโผน ตื่นเต้น หวาดเสียว เร้าใจ ขอบอกว่าผู้ชายประเภทนี้เหมาะกับคุณเป็นอย่างมาก รับรองได้เลยว่า ถ้าคุณเปิดใจจะได้สัมผัสกับประสบการณ์อันเร่าร้อนแบบแปลกใหม่จากเขาแน่นอน