วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

5 สาเหตุควรเฝ้าระวัง! ก่อนตะคริวเล่นงานสุขภาพ

หลายคนคงจะเคยเป็นตะคริวกันมาบ้างอยู่ แล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าตะคริวนั้นเกิดจากสาเหตุอะไรและสามารถป้องกันได้ หรือไม่ ซึ่งในบทความนี้เราก็ได้รวบรวม 5 สาเหตุของการเป็นตะคริวมาฝากกันด้วย เมื่อรู้แล้วคุณจะสามารถดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากตะคริวได้ไม่ยากอย่างแน่นอน
5 สาเหตุควรเฝ้าระวัง! ก่อนตะคริวเล่นงานสุขภาพ
5 สาเหตุควรเฝ้าระวัง! ก่อนตะคริวเล่นงานสุขภาพ
1.เกิดการเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย
เมื่อเกลือแร่ในร่างกายเกิดการเสียสมดุล ก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นตะคริวได้ง่ายเช่นกัน โดยสาเหตุที่ทำให้เกลือแร่เสียสมดุล ก็คือ การเสียเหงื่อมากเกินไป ท้องเสีย หรืออยู่ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนจัดเป็นเวลานาน ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่เพื่อเสริมเกลือแร่ให้ แก่ร่างกาย พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากจนเกินความจำเป็น
2.โรคร้ายแอบแฝง
การเป็นตะคริวบ่อยๆ ก็อาจเกิดจากสาเหตุของการมีโรคร้ายแอบแฝงได้เหมือนกัน ดังนั้นหากคุณเป็นตะคริวบ่อยเกินไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ก็ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคได้ทันนั่นเอง
5 สาเหตุควรเฝ้าระวัง! ก่อนตะคริวเล่นงานสุขภาพ
3.ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นตะคริวได้เหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เราเสียน้ำเป็นจำนวนมากจากการ ปัสสาวะบ่อยๆ เป็นผลให้ร่างกายและกล้ามเนื้อขาดน้ำด้วยนั่นเอง ซึ่งก็สามารถป้องกันได้ด้วยการลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงหรือจะ เลิกไปเลยก็ดีมากเลยล่ะ
4.ใช้งานกล้ามเนื้อหนักเกินไป
การใช้งานกล้ามเนื้อหนักเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเมื่อยล้าจนส่งผลให้เป็นตะคริวได้ เช่น การออกกำลังกายหนัก ยกของหนักๆ หรือต้องเดินหรือยืนเป็นเวลานาน ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการใช้งานกล้ามเนื้อหนักเกินไป หากต้องเดินหรือยืนนานๆ ก็ควรหยุดพักและยืดเส้นยืดสายบ้าง แค่นี้ก็ช่วยให้ห่างจากการเป็นตะคริวได้แล้ว
5 สาเหตุควรเฝ้าระวัง! ก่อนตะคริวเล่นงานสุขภาพ
5.ดื่มน้ำน้อย
ดื่มน้ำน้อยเกินไป ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดตะคริวได้เหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพราะการดื่มน้ำน้อยจะทำให้เซลล์กล้ามเนื้ออยุ่ในภาวะขาดน้ำ ซึ่งก็ก่อให้เกิดอาการตะคริวจับได้ ซึ่งก็สามารถป้องกันได้ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว แค่นี้ก็ลดความเสี่ยงต่อการเกิดตะคริวได้บ้างแล้ว
เมื่อเป็นตะคริวบ่อยๆ อย่าเพิ่งชะล่าใจ ควรรีบสำรวจสาเหตุของการเป็นตะคริวในทันที เพราะบางครั้งมันอาจจะเกิดจากสาเหตุของโรคแทรกซ้อนบางโรคก็ได้
ซึ่งก็ควรรีบแก้ไขโดยด่วน เพราะหากปล่อยไว้นานๆ อาการตะคริวก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณได้เช่นกัน นอกจากนี้ ตะคริวยังอาจจะเป็นอาการเตือนของโรคเบาหวานได้อีกด้วย

ไม่อยากเสียใจทีหลัง! แพทย์แนะ "คู่แต่งงาน" เช็กสุขภาพก่อนมี "เบบี๋"


ไม่อยากเสียใจทีหลัง! แพทย์แนะ "คู่แต่งงาน" เช็กสุขภาพก่อนมี "เบบี๋"

ไม่อยากเสียใจทีหลัง! แพทย์แนะ "คู่แต่งงาน" เช็กสุขภาพก่อนมี "เบบี๋"

สนับสนุนเนื้อหา
      เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่สร้างความทุกข์ใจให้กับครอบครัว คู่แต่งงานที่อยากจะมีลูกควรวางแผนการตั้งครรภ์ล่วงหน้า พญ.วีณา ครุฑสวัสดิ์ ผู้อำนวยการแพทย์และสูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
      ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์การมีบุตรยาก กล่าวว่า โรคทางพันธุกรรมคือโรคที่มีความผิดปกติขององค์ประกอบของยีนหรือโครโมโซม เป็นโรคที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดและไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากฝั่งพ่อหรือแม่พบได้ 3-5% ของประชากรทั่วไป โดยโรคทางพันธุกรรมที่พบบ่อย และมักทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลใจอยู่เสมอก็คือ โรคธาลัสซีเมีย และโรคดาวน์ซินโดรม
      พญ.วีณากล่าวต่อว่า สำหรับโรคทางพันธุกรรมที่พบในแต่ละประเทศก็จะมีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านอุบัติการณ์ ความชุกของโรค และความเสี่ยงที่จะพบความผิดปกติ ปัจจุบันทางการแพทย์ได้นำเทคนิคพีจีดี (PGD) มาตรวจวินิจฉัยพันธุกรรมของตัวอ่อน และเลือกตัวอ่อนที่ปราศจากโรคทางพันธุกรรมและมีคุณภาพดีที่สุด ซึ่งเทคนิคพีจีดีนับเป็นเทคนิคที่แพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นวิธีการป้องกันการเกิดโรคทางพันธุกรรมได้ดีที่สุดในปัจจุบัน
     "โรคทางพันธุกรรม ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากจะติดตัวไปตลอดชีวิต ทำได้แต่เพียงบรรเทาอาการไม่ให้เกิดขึ้นมากเท่านั้น ดังนั้นจึงอยากแนะนำคู่สมรสทุกคู่ที่อยากมีลูก ควรวางแผนให้รอบคอบ และควรปฏิบัติ 5 ข้อดังต่อไปนี้ เพื่อการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์แบบ ได้แก่
      1.ตรวจร่างกาย เพื่อเตรียมความพร้อมในการตั้งครรภ์
      2.ตรวจเช็กว่ามีโรคประจำตัวหรือไม่ เพราะโรคประจำตัวบางโรค ถ้ามีต้องรักษาและควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่หมอกำหนด
      3.ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์
      4.ตรวจเช็กความเสี่ยงโรคทางพันธุกรรมหรือโรคติดต่อทางพันธุกรรม
      5.งดการดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่" แพทย์หญิงวีณากล่าว

ข้อควรระวังของคุณแม่หลังคลอด

ข้อควรระวังของคุณแม่หลังคลอด
หลังจากคลอดบุตร ทุกคนก็จะโฟกัสไปที่ทารก โดยเฉพาะคุณแม่ท้องแรกที่อาจจะมีความกังวลเรื่องการเลี้ยงดูลูกอย่างมากมาย  แต่สำคัญไปกว่านั้น คือการที่คุณแม่ต้องดูแลตัวเองให้พร้อมที่จะดูแลอีกชีวิตและหัวใจของเรา พร้อมๆไปด้วยนะคะ
  1. ควบคุมความเครียด เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ยากจะควบคุม ความเครียดส่งผลกระทบโดยตรงต่ออารมณ์และจิตใจ ยิ่งสำหรับคุณแม่ นอกจากมีผลโดยตรงกับการผลิตน้ำนมแล้ว  ลูกยังจะสัมผัสได้โดยตรงจากแม่ ผู้ที่ใกล้ชิดเค้ามากที่สุด โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลังคลอด อาจะทำให้คุณแม่มีอาการซึมเศร้า  จึงควรหมั่นสังเกตตัวเองว่าความเครียดมีผลกับการใช้ชีวิตมากเกินไปแล้วหรือ ยัง หากพบว่าตัวเองเป็นนานกว่าสี่สัปดาห์ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ ทั้งนี้ทางที่ดีคือให้คุณพ่อหรือหาผู้ช่วยมาช่วยแบ่งเบาภาระต่างๆ เพื่อที่แม่จะได้มีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ และทำให้ไม่เครียดจนเกินไป
  2. งดอาหารกลุ่มเสี่ยง เหมือนที่เคยงดระหว่างตั้งครรภ์ เช่นอาหารประเภทหมักดอง อาหารสดจำพวกปลาดิบ อาหารค้างคืน อาหารที่มีสารปรุงแต่งฯ  ควรเลือกทานอาหารให้ครบห้าหมู่ ดื่มน้ำสะอาดเยอะ งดดื่มแอลกฮอล์ และดื่มนมหรือน้ำผลไม้แทน
  3. ออกกำลังกายแต่พอดีและค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง เพราะอาจกระทบกับแผลผ่าตัดหรือจากฝีเย็บบริเวณช่องคลอด จึงควรเริ่มออกกำลังหลังจากคลอด(ธรรมชาติ) 3 วันไปแล้ว หรือ 1 เดือน หากเป็นการผ่าคลอด
  4. หลีกเลี่ยงการยกของหนักเกินไป เพื่อฝีเย็บ หรือแผลที่ผ่าคลอดปริ ฉีกขาด
  5. งดการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างที่ฝีเย็บยังไม่แห้งสนิท และยังมีน้ำความปลาไหลอยู่ เพื่อป้องกันแผลฉีก และติดเชื้อ  โดยปรกติแล้วควรรออย่างน้อย 6 สัปดาห์
  6. ไม่ใช้ยาที่นอกเหนือจากแพทย์สั่ง เว้นแต่จะได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ว่าปลอดภัยสำหรับการให้นม  หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาใด ๆ เบื้องต้นควรสอบถามเภสัชกรหรือตรวจรายชื่อยาที่ปลอดภัยกับการให้นมทุกครั้ง

4 เทรนด์แต่งหน้าสุดเอาท์ในปี 2016 ที่สาวๆ ควรบอกลา

นอกจากเทรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น และเทรนด์ทรงผมต่างๆ ที่ได้เอ้าท์ไปในปี 2016 แล้ว เทรนด์แต่งหน้าบางเทรนด์ก็กำลังจะเอ้าท์ไปด้วยเช่นกัน หากสาวๆ ยังคงแต่งตามเทรนด์ปีเก่าก็อาจทำให้คุณกลายเป็นตัวตลกที่ยังหลงเทรนด์อยู่ก็ เป็นได้
ดังนั้น ใครที่ยังคงแต่งหน้าด้วยเทรนด์เก่าๆ นี้อยู่ ควรรีบโยนทิ้งโดยด่วนเลย ไม่งั้นปี 2016 นี้คุณอาจกลายเป็นสาวๆ ที่เชยสุดๆ เลยล่ะ ว่าแต่จะมีเทรนด์อะไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลย
4 เทรนด์แต่งหน้าสุดเอาท์ในปี 2016 ที่สาวๆ ควรบอกลา
4 เทรนด์แต่งหน้าสุดเอาท์ในปี 2016 ที่สาวๆ ควรบอกลา
1.ขนตาปลอมหนาเตอะ
ขนตาปลอมหนาเตอะ อาจทำให้ดวงตาของคุณดูกลมสวยมากขึ้น แต่บางครั้งมันก็ดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย ดังนั้นในปี 2016 นี้ ขาตาปลอมหนาเตอะจึงเป็นอีกเทรนด์หนึ่ง ที่ต้องรีบโยนทิ้งโดยด่วน ซึ่งหากใครไม่อยากตกเทรนด์ ก็เปลี่ยนมาใช้ขนตาปลอมแบบบางๆ แต่สวยเว่อร์จะดีกว่านะ
4 เทรนด์แต่งหน้าสุดเอาท์ในปี 2016 ที่สาวๆ ควรบอกลา
4 เทรนด์แต่งหน้าสุดเอาท์ในปี 2016 ที่สาวๆ ควรบอกลา
2.คอนทัวร์หน้าแบบจัดหนัก
การคอนทัวร์หน้าแบบจัดหนัก จะทำให้สาวๆ ดูดีและถ่ายรูปออกมาได้สวยเป๊ะมากขึ้น แต่สำหรับปี 2016 นี้ การจะคอนทัวร์หน้าแบบจัดหนักก็คงดูไม่ดีเท่าไหร่ เพราะเทรนด์นี้ได้ตกยุคไปแล้วนั่นเอง ซึ่งสำหรับปีนี้เทรนด์ที่กำลังติดท็อปมาแรง ก็คือการแต่งหน้าแบบใสๆ เป็นธรรมชาติมากกว่า
4 เทรนด์แต่งหน้าสุดเอาท์ในปี 2016 ที่สาวๆ ควรบอกลา
4 เทรนด์แต่งหน้าสุดเอาท์ในปี 2016 ที่สาวๆ ควรบอกลา
3.ลิปสติกประกายมุก เพิ่มเสน่ห์ให้กับริมฝีปาก
เชื่อว่าหลายคนคงจะมีลิปสติกประกายมุขอยู่ในกระเป๋าเครื่องสำอางไม่น้อย เลยทีเดียว เพราะลิปสติกแบบนี้เคยเป็นลิปที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์และความเร้าใจให้กับสาวๆ มาก่อน แต่ในปีนี้ ลิปสติกประกายมุขก็ได้ตกเทรนด์ไปแล้วเช่นกัน ขอบอกเลยว่าสาวคนไหนที่ยังนำมาใช้อยู่ อาจจะดูเป็นสาวเช้ย เชย โดยไม่รู้ตัวก็ได้นะ ทางที่ดีแนะนำให้เลือกทาลปสติกแบบธรรมดาตามด้วยลปกลอสแบบบางๆ ก็ทำให้ดูเวิร์คมากขึ้นแล้วล่ะ
4 เทรนด์แต่งหน้าสุดเอาท์ในปี 2016 ที่สาวๆ ควรบอกลา
4 เทรนด์แต่งหน้าสุดเอาท์ในปี 2016 ที่สาวๆ ควรบอกลา
4.ริมฝีปากดูอวบอิ่มแบบ ไคลี่ เจนเนอร์
ในช่วงปีที่ผ่านมา การมีริมฝีปากที่อวบอิ่มแบบ ไคลี่ เจนเนอร์ อาจจะเคยติดท็อปและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่สำหรับปีนี้ขอบอกเลยว่าเทรนด์นี้ได้ถูกปัดทิ้งไปอย่างไม่เหลือเยื่อใยเลย ล่ะ เพราะฉะนั้นสาวๆ คนไหนที่ยังคงฮิตการเติมแต่งริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มอยู่ล่ะก็ ควรรีบโยนทิ้งในทันที แล้วหันมาแต่งแต้มริมฝีปากอย่างพองามตามแบบธรรมชาติกันดีกว่า
ไม่อยากตกเทรนด์ ปี 2016 นี้ อย่าลืมรีบโยนเทรนด์แต่งหน้าสุดเอ้าท์เหล่านี้ทิ้งไปโดยด่วนเลยนะ ส่วนเทรนด์ที่กำลังฮิตมาแรงก็ต้องยกให้เทรนด์แต่งหน้าแบบธรรมชาติกันเลย เอาเป็นว่าเปลี่ยนลุคจากสาวเปรี้ยวจี๊ดมาเป็นสาวแบ๊วน่ารักก็ดีเหมือนกันนะ

รู้ไว้รับมือให้ทัน! ปัญหาสุขภาพผู้หญิงก่อนเข้าสู่วัยทอง

วัยทอง เป็นวัยที่รังไข่หยุดการทำงาน ไม่มีการตกไข่ ไม่มีการผลิตฮอร์โมนเพศหญิง เมื่อผู้หญิงที่ไม่มีการตกไข่และไม่มีประจำเดือน วัยทองจึงหมายความว่า “ วัยหมดประจำเดือน”
วัยทองของผู้หญิงในแต่ละคนนั้นจะมีอายุที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในช่วงอายุ ประมาณ 45-50 ปี ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฮอร์โมนจะขาดหายไปจึงทำให้ผู้หญิงต้อง เจอกับปัญหาทางสภาพจิตใจ ด้านร่างกาย และอารมณ์ เราจึงมีข้อแนะนำดีๆ มาฝากกันเพื่อที่หญิงวัยทอง จะได้ดูแลตัวเองให้ดีและสามารถใช้ชีวิตให้มีความสุขได้ดีในช่วงวัยทอง
รู้ไว้รับมือให้ทัน! ปัญหาสุขภาพผู้หญิงก่อนเข้าสู่วัยทอง
รู้ไว้รับมือให้ทัน! ปัญหาสุขภาพผู้หญิงก่อนเข้าสู่วัยทอง
1.ช่วงเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น
ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่รังไข่เริ่มผลิตฮอร์โมนจึงทำให้ระดับฮอร์โมนนั้นไม่ มีความคงที่ จึงส่งผลให้อารมณ์แปรปรวนได้ง่าย หงุดหงิดง่าย ตอบสนองต่อความไม่พอใจได้เร็วและรุนแรงได้ง่ายอาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อ ระดับฮอร์โมนนั้นเริ่มคงที่
2.ช่วงเริ่มตั้งครรภ์ ในช่วง 3 เดือนแรก
ระดับฮอร์โมนนั้นจะสูงมากจึงทำให้หญิงท้องมีความอ่อนไหวง่ายนั่นเอง
3.ช่วงหลังคลอด
ช่วงหลังคลอดนี้ฮอร์โมนตกลงอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำให้มีอาการความรู้สึกทุกข์ใจเศร้าใจได้ง่ายโดยไม่มี เหตุผล รู้สึกท้อแท้ ในช่วงนี้จะมีอาการคล้ายคล้ายกับคนจิตตก
รู้ไว้รับมือให้ทัน! ปัญหาสุขภาพผู้หญิงก่อนเข้าสู่วัยทอง
รู้ไว้รับมือให้ทัน! ปัญหาสุขภาพผู้หญิงก่อนเข้าสู่วัยทอง
4.ช่วงใกล้มีประจำเดือน
ผู้หญิงจะรู้ดี ในช่วงนี้ก่อนประจำเดือนมา 4-5 วัน ก่อนประจำเดือนมานั้นจะมีอารมณ์ที่น่ากลัวเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย นอนไม่ค่อยหลับตัวบวม แต่เมื่อถึงเวลาที่ประจำเดือนมาก็จะมีอาการที่เริ่มเป็นปกติ
5.ช่วงเข้าสู่วัยทอง
ช่วงนี้ฮอร์โมนจะลดลงมากจึงทำให้มีอาการได้หลายอย่างคือ
- อาการทางระบบประสาท คือจะมีอาการร้อนวูบวาบ ใจสั่น นอนไม่หลับ อาการแบบนี้อาจจะส่งผลต่อสภาพจิตใจและอารมณ์ได้ บางครั้งอาจเกิดอาการทางจิตประสาทได้
- อาการทางจิตและอารมณ์ คือจะมีอาการกระวนกระวาย หงุดหงิดได้ง่ายมาก ไม่มีสมาธิ หลงลืมได้ง่าย และที่สำคัญอาจเป็นโรคซึมเศร้าได้ด้วย
รู้ไว้รับมือให้ทัน! ปัญหาสุขภาพผู้หญิงก่อนเข้าสู่วัยทอง
รู้ไว้รับมือให้ทัน! ปัญหาสุขภาพผู้หญิงก่อนเข้าสู่วัยทอง
- อาการระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ เมื่อร่างกายหยุดผลิตฮอร์โมนเอสโตเจนจะส่งผลทำให้ช่องคลอดแห้ง ในรายที่เป็นมากนั้น ก็จะมีอาการรู้สึกเจ็บมากที่อวัยวะเพศเมื่อมีเพศสัมพันธ์จึงอาจทำให้มีอาการ ทางเพศลดน้อยลงได้
- อาการอื่นที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาจมีอาการตาแห้ง ผิวแห้ง ชาปลายมือปลายเท้า ปวดตามตัว บางคนก็จะมีอาการคันยุบยิบเหมือนกับมีแมลงมาไต่ตามตัวเป็นต้น
เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้ที่มีอาการวัยทองจึงจำเป็นที่ต้องพบแพทย์แต่จะจำเป็นมากหรือน้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับอาการที่ที่เกิดขึ้นนั้นสร้างความเดือดร้อน หรือส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม หญิงวัยทองนั้นควรที่จะดูแลตัวเองให้ดีนะคะเพื่อที่จะได้มีสุขภาพที่เป็น ปกติแข็งแรงนั่นเอง

วิธีดูแลส้นเท้าแตกในช่วงหน้าหนาว

สำหรับสาวๆ ที่นิยมตามแฟชั่นการแต่งกาย แน่นอนว่าจะต้องใส่ใจในเรื่องของการแต่งกายเป็นพิเศษ โดยเฉพาะแฟชั่นรองเท้าที่ช่วงนี้นิยมการใช้รองเท้าเปิดส้น ดังนั้น ปัญหาส้นเท้าแตกจึงเป็นดั่งปัญหาโลกแตกของสาวๆ กลุ่มนี้เลยก็ว่าได้
วันนี้เราขอเอาใจสาวกลุ่มนี้ด้วยการแบ่งปันเนื้อหาดีๆ มากมาย ซึ่งเกี่ยวกับข้อควรทำและไม่ควรทำ เพื่อการรักษาส้นเท้าแตกในหน้าหนาวให้ได้ลองทำตามกันดูดังนี้ค่ะ
วิธีดูแลส้นเท้าแตกในช่วงหน้าหนาว
วิธีดูแลส้นเท้าแตกในช่วงหน้าหนาว
สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อส้นเท้าแตก
- ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายมีน้ำหนักที่มากจนเกินไป เนื่องจากจะทำให้ส้นเท้าต้องรับน้ำหนักมากจนอาจทำให้ส้นเท้าแตกมากกว่าเดิม
- ไม่ควรให้ส้นเท้าแตกโดนน้ำบ่อยๆ เพราะจะยิ่งทำให้รอยแผลที่ส้นเท้าหายได้ยาก
- ไม่ควรอยู่ในห้องหรือสถานที่ที่มีอากาศเย็นมากเกินไป เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นมากจะทำให้ผิวแห้งง่าย
- ไม่ควรยืนเป็นเวลานานบนพื้นที่มีความแข็ง อย่างพื้นซีเมนต์ เพราะจะทำให้ส้นเท้าแตกเพิ่มขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นเปิดทุกครั้งที่จะต้องเดินบนพื้นเย็นๆ เป็นประจำทุกวัน เพราะรองเท้าประเภทนี้จะทำให้ส้นเท้าไปสัมผัสกับพื้นได้ง่ายและอาจทำให้ส้น เท้ายิ่งแตกมากขึ้น
วิธีดูแลส้นเท้าแตกในช่วงหน้าหนาว
วิธีดูแลส้นเท้าแตกในช่วงหน้าหนาว
วิธีการรักษาส้นเท้าแตกในหน้าหนาว
- นำเปลือกกล้วยมาถูในบริเวณส้นเท้าแตก จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จึงค่อยล้างออก โดยสารอาหารที่มีอยู่ในเปลือกกล้วยจะช่วยสมานส้นเท้าแตกได้เป็นอย่างดีเลยที เดียว
- เลือกใส่รองเท้าหุ้มส้นและเลือกรองเท้าที่พื้นภายในมีความนุ่ม และหมั่นใส่รองเท้าลำลองทุกครั้งที่เดินอยู่ภายในบ้าน ที่สำคัญควรใส่ถุงเท้าทุกครั้งที่ต้องใส่รองเท้าเพื่อไปไหนมาไหนด้วยเช่นกัน
- ในแต่ละวันให้แช่เท้าในน้ำสบู่ประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ผิวบริเวณส้นเท้าที่แห้งแตก และมีความหยาบกร้านนิ่มลงและเนียนนุ่มมากขึ้น จากนั้นให้นำหินมาขัดถูในบริเวณส้นเท้า
วิธีดูแลส้นเท้าแตกในช่วงหน้าหนาว
วิธีดูแลส้นเท้าแตกในช่วงหน้าหนาว
- ใช้ครีมนวดทาส้นเท้าให้ทั่ว เพื่อให้ครีมที่ใช้สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวในบริเวณส้นเท้าไปอย่างทั่วถึงจน ผิวมีความชุ่มชื้นขึ้นอีกครั้ง
- กลับจากการทำงาน ให้หมั่นทำความสะอาดและบำรุงส้นเท้าเสมอ โดยนำเท้ามาแช่น้ำอุ่นที่ผสมสบู่ประมาณ 10-15 นาที แล้วตามด้วยเช็ดเท้าให้พอหมาด จากนั้นทาครีมสูตรพิเศษที่ผสมระหว่างวาสลีนและมะนาวครึ่งลูก ชโลมลงบนผิวบริเวณส้นเท้า จะช่วยรักษาส้นเท้าแตกได้เป็นอย่างดี
- สร้างความอ่อนนุ่มให้บริเวณผิวส้นเท้าแตกด้วยกลีเซอรีนและน้ำกุหลาบ วิธีนี้จะเห็นผลได้เร็วเมื่อทำเป็นประจำทุกวัน
หน้าหนาวแบบนี้ ปัญหาส้นเท้าแตกถือเป็นเรื่องปกติที่หลายคนต้องเจอ ดังนั้นคุณจึงควรรับมือกับมันให้ดี เพื่อรักษาผิวบริเวณส้นเท้าให้เนียนสวยไม่แห้งแตกได้อีก

เกร็ดน่ารู้คู่การดูแลผิวให้สวยสุขภาพดีในทุกๆ วัน

อยากมีผิวที่ดูเรียบเนียนและ ขาวกระจ่างใส การดูแลผิวถือมีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้าหรือผิวกายก็ตาม ซึ่งวันนี้เราก็มีเกร็ดน่ารู้กับการดูแลผิวมาฝากกันด้วย รับรองว่าเมื่อทำแล้ว คุณจะมีผิวสุขภาพดีขึ้นอย่างแน่นอน ว่าแต่จะมีอะไรบ้างนั้นเรามาดูกันเลย
เกร็ดน่ารู้คู่การดูแลผิวให้สวยสุขภาพดีในทุกๆ วัน
เกร็ดน่ารู้คู่การดูแลผิวให้สวยสุขภาพดีในทุกๆ วัน
ทาโลชั่นบำรุงผิวเป็นประจำ
ควรทาโลชั่นบำรุงผิวเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่ทั้งนี้จะต้องเลือกโลชั่นที่มีความเหมาะกับสภาพผิวของคุณด้วย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบำรุงผิวมากที่สุดนั่นเอง โดยมีวิธีเลือกโลชั่นบำรุงผิวให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละแบบดังนี้
- ผิวแห้ง ควรเป็นโลชั่นที่อุดมไปด้วยมอยเจอไรเซอร์ และมีส่วนผสมของ oil เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น พร้อมลดริ้วรอยก่อนวัยด้วย
- ผิวมัน ควรเป็นโลชั่นที่ไม่มีส่วนผสมของ oil และมีมอยเจอไรเซอร์น้อยที่สุดหรือไม่มีเลย เพราะสิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผิวหน้ามันมากกว่าเดิมได้นั่นเอง
- ผิวบอบบาง ควรเป็นโลชั่นที่มีความอ่อนโยนต่อผิว และไม่ก่อให้เกิดการแพ้ได้ง่าย
เกร็ดน่ารู้คู่การดูแลผิวให้สวยสุขภาพดีในทุกๆ วัน
เกร็ดน่ารู้คู่การดูแลผิวให้สวยสุขภาพดีในทุกๆ วัน
เติมความชุ่มชื้น เนียนนุ่มด้วยปิโตรเลียมเจล
แค่ความชุ่มชื้นอาจยังไม่พอ ผิวจะมีต้องมีความเนียนนุ่มน่าสัมผัสด้วย และอีกตัวช่วยหนึ่งที่จะช่วยในการเพิ่มความเนียนนุ่มให้แก่ผิวได้ดี ก็คือปิโตรเลียมเจลนั่นเอง เพียงแค่ทาเป็นประจำทุกวัน ก็จะทำให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีได้ดั่งใจแล้ว อีกทั้งยังมีความอ่อนโยนต่อผิว ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ผิวเกิดการแพ้ได้อีกด้วย
เกร็ดน่ารู้คู่การดูแลผิวให้สวยสุขภาพดีในทุกๆ วัน
เกร็ดน่ารู้คู่การดูแลผิวให้สวยสุขภาพดีในทุกๆ วัน
ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง
แสงแดดนี่ล่ะคือตัวการทำร้ายผิวที่ต้องระวังเป็นอย่างมากกันเลย ดังนั้นก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง จึงควรทาครีมกันแดดอยู่เสมอ เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV ร้ายตลอดเวลาที่เผชิญกับแสงแดดนั่นเอง นอกจากนี้ อาจจะใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และเสริมด้วยหมวกสักใบ เพื่อป้องกันแสงแดดด้วยก็ได้
เกร็ดน่ารู้คู่การดูแลผิวให้สวยสุขภาพดีในทุกๆ วัน
เกร็ดน่ารู้คู่การดูแลผิวให้สวยสุขภาพดีในทุกๆ วัน
หลีกเลี่ยงการขัดผิวบ่อยๆ
การขัดผิว อาจช่วยให้ผิวมีความกระจ่างใส และดูขาวขึ้นได้ แต่หากทำบ่อยเกินไปก็อาจทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและเกิดการแห้งกร้านได้ เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ควรขัดผิวบ่อยมากนัก อย่างดีแค่สัปดาห์ละ 1 ครั้งหรือเดือนละ 2 ครั้งก็พอ
อยากมีผิวสุขภาพดี และดูขาวกระจ่างใสมากขึ้น เกร็ดน่ารู้เหล่านี้ช่วยคุณได้อย่างแน่นอน มาดูแลผิวให้เรียบเนียนด้วยเกร็ดน่ารู้เหล่านี้กันนะ

ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ

เมื่อแรกเริ่มรู้ตัวเองว่าเริ่มตั้งครรภ์ ก็จะเกิดความกังวลใจต่างๆ นานา และมักจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ด้วย วันนี้เราจึงนำความรู้เพื่อเตรียมรับมือของโรคต่างๆ เมื่อตั้งครรภ์มาแนะนำให้รู้กันว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นโรคอะไรจะต้องมี การดูแลพิเศษอย่างไรบ้าง
ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ
ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ
1.เบาหวาน
หากคุณแม่ตั้งครรภ์นั้นเป็นเบาหวานอยู่แล้วอาจจะต้องควบคุมโรคอย่างระมัด ระวัง ด้วยการเช็คน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่ปกติอย่างสม่ำเสมอ โดยแพทย์จะให้อินซูลินในปริมาณที่เหมาะสม แต่ที่สำตัญนั้นตัวคุณแม่เองจะต้องระมัดระวังเรื่องของการกินให้ดีด้วย และจะต้องตรวจครรภ์บ่อยกว่าปกติ แต่ในบางรายอาจจะพบว่าเป็นเบาหวานอ่อนและมักจะหายไปหลังจากคลอดแล้ว
ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ
ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.diabetes-matters.com/
2.โลหิตจาง
ส่วนใหญ่ของหญิงตั้งครรภ์นั้นมักจะเกิดภาวะโลหิตจางเล็กน้อย เพราะร่างกายจะขาดธาตุเหล็กซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขด้วยการ เพิ่มธาตุเหล็กให้เพียงพอในระยะที่ตั้งครรภ์ รวมทั้งการเสียเลือดระหว่างการคลอดด้วย การป้องกันโลหิตจางนั้นสามารถทำได้ด้วยการทานอาหารที่หลากหลายครบทั้ง 5 หมู่โดยเน้นรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อแดงไม่ติดมัน ปลาทูน่า ผักโขม และผักปวยเล้ง เป็นต้น หากคุณแม่ตรวจพบว่าเป็นโลหิตจางแพทย์ก็จะทำการจัดยาเสริมธาตุเหล็กไว้ให้รับ ประทานด้วย
ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ
ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.babycenter.com/
3.ครรภ์เป็นพิษ
อาการเช่นนี้จะพบบ่อยในช่วงไตรมาสที่ 3 คือ จะมีความดันที่สูงเกิน 140/90 และน้ำหนักตัวของคุณแม่นั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามอวัยวะส่วนต่างจะพบ ว่าบวม อีกทั้งยังตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะด้วย ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการดังกล่าวจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ และเมื่อไหร่ที่ความดันสูงจนไม่สามารถควบคุมได้อาจเกิดอันตรายถึงขั้นชักหมด สติได้ เพราะฉะนั้น คุณแม่จะต้องพักผ่อนให้เพียงพอ งดการทานอาหารรสเค็มจัด ถ้าหากมีอาการที่รุนแรงจะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาลและแพทย์ อาจจะกระตุ้นให้เกิดการคลอดในทันที
ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ
ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ
4.มีโรคแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์
โรคแทรกซ้อนเหล่านี้ก็คือ โรคที่อาจจะเป็นอันตรายทั้งต่อคุณแม่และลูกน้อยได้ อีกทั้งยังอาจส่งพันธุกรรมไปถึงลูกได้อีกด้วย เช่น โรคธาลัสซีเมีย จึงต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และระมัดระวังเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
หากมีอาการที่ผิดปกติแพทย์จะทำการรักษา ดูแลตามอาการอย่างใกล้ชิด คุณแม่จึงไม่ต้องเป็นกังวล แต่หากมีอาการที่ปกติแพทย์ก็จะทำการรักษาตามปกติที่ดีที่สุดเช่นกัน นอกจากแพทย์จะดูแลแล้วสิ่งสำคัญคุณแม่จะต้องดูแลตัวเองให้ดีอยู่เสมอด้วยนะ คะ เพื่อตัวคุณเองและลูกน้อยในครรภ์