วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หมดปัญหากลิ่นอับ คราบสกปรก ด้วยเบคกิ้งโซดา

          ปัจจุบันคนส่วนมากนิยมใช้น้ำหอมเพื่อดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่บางครั้งน้ำหอมอาจไม่ใช่ทางเลือกที่จะนำ มาดับกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่าง กลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นอับจากเหงื่อ และอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะอาจไปทำ ให้กลิ่นรุนแรงมากยิ่งขึ้น เราจึงควรขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ตั้งแต่ซักผ้าครั้งแรก

กลิ่นเหม็นจากควันบุหรี่
กลิ่นเหม็นจากควันบุหรี่ เป็นกลิ่นที่ขจัดได้ยากเมื่อติดอยู่บนเสื้อผ้า ต่อให้ซักทำความสะอาดหลายครั้ง กลิ่นก็ยังคงติดอยู่อย่างถาวร ซึ่งวิธีที่ช่วยในการขจัดกลิ่น คือ นำน้ำเปล่า 1 กะละมัง ผสมเบคกิ้งโซดา 1/2 ถ้วยตวง แล้วนำเสื้อผ้ามาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15นาที จากนั้นนำไปซักตามปกติ กลิ่นก็จะจางหายไป

กลิ่นเหม็นอับจากคราบเหงื่อ
กลิ่นเหม็นอับจากเหงื่อ หากหมักหมมไว้นานจะก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือกลิ่นฉุนรุนแรง วิธีแก้ไขคือ นำเบคกิ้งโซดาผสมน้ำเปล่าเล็กน้อยพอให้เป็นเนื้อครีม แล้วนำไปป้ายเสื้อผ้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 5นาที จากนั้นนำไปแช่ในน้ำเปล่าที่ผสมเบคกิ้งโซดา 1/2ถ้วยตวง อีกครั้งและนำไปซักตามปกติ

ขจัดคราบซอสมะเขือเทศด้วยเบคกิ้งโซดา
เมื่อซอส มะเขือเทศเลอะบนเสื้อผ้าจะทำความสะอาดยาก วิธีแก้ คือ นำน้ำเปล่าผสมกับเบคกิ้งโซดาคนให้ละลายเข้ากัน แล้วนำไปทาบริเวณคราบซอสมะเขือเทศ หรือใส่ขวดสเปรย์ แล้วฉีดพ่นลงบนคราบซอสมะเขือเทศให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นนำเสื้อผ้าไปล้างด้วยน้ำเย็นและนำไปซักตามปกติเพียงเท่านี้คราบซอส มะเขือเทศก็จะหายไป

กลิ่นเหม็นจากสารเคมี
เมื่อเสื้อผ้ามีกลิ่นเหม็นจาก สารเคมีเช่น กลิ่นก๊าซบางชนิด กลิ่นน้ำมัน หรือกลิ่นเคมีอื่น ๆ ให้นำเบคกิ้งโซดาเทลงไปในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ จากนั้นนำเสื้อผ้าที่มีกลิ่นเหม็นจากสารเคมีใส่และปิดปากถุงให้แน่น ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 วัน แล้วนำมาซักตามปกติ หรือหากไม่มั่นใจให้นำเสื้อผ้าที่มีกลิ่นเหม็นจากสารเคมีไปแช่กับน้ำเบคกิ้ง โซดาอีกครั้งก็ได้

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ใช้ไมโครเวฟให้ปลอดภัย ต้องปรุงอาหารให้ถูกวิธี

            ยุคนี้บ้านไหนๆ ก็มี “ไมโครเวฟ” กันแล้วทั้งนั้น เพราะช่วยให้ชีวิตที่เร่งรีบดูง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่การใช้ไมโครเวฟนั้นก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป เพราะยังต้องคำนึงถึงภาชนะที่ใช้ใส่อาหารและข้อควรระมัดระวังด้วย ซึ่งวิธีง่าย ๆ ก็เพียงสังเกตฉลาก สัญลักษณ์รูปไมโครเวฟ และการใช้คำ Microwave Safe, Oven Safe, Dishwasher Safe ที่อยู่ด้านข้าง และไม่ควรใช้ภาชนะที่มีส่วนประกอบของโลหะ เพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟได้ ซึ่งภาชนะที่ใช้กับไมโครเวฟได้มี ดังนี้


ภาชนะที่ทำด้วยแก้ว (Glass) เป็นภาชนะที่นำเข้าไมโครเวฟได้ดีและปลอดภัยที่สุด เพราะแก้วมีทรายเป็นองค์ประกอบหลัก โดยผ่านกระบวนการหลอมในอุณหภูมิที่สูงมาก จะทำให้แก้วโปร่งใสและไม่มีรูพรุน เมื่อนำมาใช้กับไมโครเวฟภาชนะแก้วจึงไม่ดูดซึมน้ำและสารอาหาร หากภาชนะแก้วที่มีคุณภาพดี เนื้อหนา ก็นำมาใส่อาหารแช่เย็นและนำเข้าไมโครเวฟได้ทันที ทั้งนี้ภาชนะแก้วจะต้องไม่ตกแต่งขอบหรือลวดลายด้วยสีทองและสีเงิน

เซรามิก (Ceramic) เป็นภาชนะที่เหมาะจะใช้กับไมโครเวฟได้เป็นอย่างดีและปลอดภัย แต่ต้องเลือกใช้ภาชนะเซรามิกที่มีคุณภาพดี เพราะภาชนะเซรามิกมีอย่หู ลายประเภทมีทั้งที่ทนความร้อนได้สูงจนถึงต่ำ ตามแต่กระบวนการผลิต ทั้งนี้ไม่ควรเลือกใช้ภาชนะเซรามิกที่ตกแต่งลวดลายบนเครือบด้วยสีสันต่าง ๆ เพราะจะทำให้สารตะกั่วและแคดเมียมละลายออกมาปนเปื้อนกับอาหาร

พลาสติกเมลามีน (Melamine) เป็นภาชนะที่ใช้งานได้กับไมโครเวฟเพียงแค่อุ่นอาหารเท่านั้น และอาหารจะต้องมีความชื้นสูง เช่น แกงส้มก๋วยเตี๋ยว อุ่นในอุณหภูมิที่ไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส ประมาณ 2-3 นาทีหากใช้พลาสติกเมลามีนปรุงอาหาร หรือใช้ในอุณหภูมิสูงและนานเกินอาจทำให้พลาสติกเมลามีนแตกและไหม้ได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่ออาหารที่จะรับประทาน ทั้งนี้ต้องดูคุณภาพของพลาสติกเมลามีน

ภาชนะที่ทำด้วยกระดาษ รวมทั้งกระดาษที่เคลือบด้วยแวกซ์ นำมาใช้กับไมโครเวฟได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงภาชนะกระดาษที่มีลวดลายตัวอักษรต่างๆ เพราะความร้อนจะทำให้สารที่อยู่ในตัวหมึกพิมพ์ปนเปื้อนกับอาหาร และควรเลือกใช้ระดับอุณหภูมิให้เหมาะสม






ทดสอบภาชนะใส่อาหารก่อนเข้าไมโครเวฟ : การทดสอบภาชนะที่นำมาใช้ให้มั่นใจอีกครั้งด้วยวีธีง่าย ๆ คือ นำภาชนะเปล่าและแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ 250 มิลลิลิตร โดยวางใกล้ ๆ กันในไมโครเวฟ ใช้ความร้อนสูงสุด ประมาณ 1 นาที จากนั้นตรวจดูภาชนะและแก้วน้ำ หากภาชนะเปล่าร้อนแต่น้ำในแก้วอุ่น ๆ แสดงว่าภาชนะดูดกลืนคลื่นไมโครเวฟ จึงไม่เหมาะที่จะนำไปใช้กับไมโครเวฟ เพราะจะทำให้อาหารสุกช้า และสิ้นเปลืองพลังงานทั้งนี้ควรเลือกภาชนะที่ทนความร้อน ทนการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ดี

อาหารสุกไม่ทั่ว : การปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟ คือการทำอาหารให้สุกด้วยความร้อนในช่วงเวลาสั้น ๆ จึงอาจทำให้อาหารสุกไม่ทั่ว ดังนั้นในการปรุงอาหารเราไม่ควรเลือกใช้วัตถุดิบที่มีชิ้นหนา หรือใหญ่จนเกินไป เพราะจะทำให้ความร้อนเข้าไปไม่ถึงตรงกลางของอาหาร นอกจากนี้การจัดอาหารก็ควรจัดให้กระจายห่างกัน ไม่ควรรวมเป็นกระจุกเดียว บางครั้งอาจต้องปรุง 2 รอบเพื่อกลับด้านให้อาหารสุกทั่วกัน แต่หากปริมาณอาหารมีน้อยจนเกินไปก็จะส่งผลเสียต่อไมโครเวฟ เพราะเมื่ออาหารมีน้อย พื้นที่ในการดูดซับคลื่นไมโครเวฟก็มีน้อยด้วย จึงทำให้คลื่นไมโครเวฟส่วนที่เหลือสะท้อนกลับ ทำให้ไมโครเวฟร้อน และเสียหายได้

ระเบิดน้ำ : การต้มน้ำในไมโครเวฟ อาจทำให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้งานได้ เพราะการต้มน้ำในไมโครเวฟเมื่อถึงจุดเดือดจะไม่มีฟองอาการผุดขึ้นมาเพื่อ ช่วยลดความดัน และช่วยลดอุณหภูมิให้อยู่ที่จุดเดือดปกติ จึงทำให้น้ำที่ต้มในไมโครเวฟมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ และเมื่อถูกรบกวน เช่น นำภาชนะออกมาจากเตา ใส่กาแฟ หรือถุงชาลงไป อาการน้ำเดือดก็จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หรือที่เรียกว่า “ระเบิดน้ำ” แต่หากต้องการต้มน้ำในไมโครเวฟควรใส่แท่งไม้สำหรับคนกาแฟหรือถุงชา ลงไปด้วยเพื่อกระจายพลังงาน หรือต้มน้ำไม่เกิน 2 นาที และหลังจากต้มเสร็จแล้วควรรอประมาณ 30 วินาที ก่อนนำออกจากไมโครเวฟ หรือก่อนใส่อะไรลงไปในน้ำร้อน

ฟอยล์ห่ออาหาร : ในปัจจุบันฟอยล์ห่ออาหารมักทำมาจากอะลูมิเนียมบาง ๆ เมื่อนำเข้าไมโครเวฟจึงทำให้ลุกไหม้ได้ง่าย ดังนั้นก่อนนำอาหารเข้าไมโครเวฟทุกครั้งควรนำฟอยล์ที่ห่อหุ้มอาหารอยู่ออก ให้หมดเสียก่อน จึงนำเข้าไมโครเวฟ

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

DIY ไอเดียเก๋ เปลี่่ยนเสื้อผ้าเก่าให้ดูสดใส

ช่วงนี้งานแฮนด์เมด งานไอเดีย งานชิ้นเดียวในโลกต้องมา! ที่ต้องพูดแบบนี้ก็เพราะว่า วันนี้ มีไอเดีย DIY เก๋ๆ ที่จะมาเนรมิตเสื้อสเวตเตอร์สีขาวธรรมดาให้เป็นสีพาสเทลสดใส ใส่ตอนรับลมหนาวที่กำลังจะถึงนี้

อุปกรณ์ที่ต้องมี

เสื้อกันหนาวสีขาว

สีอะคริลิค ที่ใช้สำหรับการเพ้นท์เสื้อผ้าได้

พู่กัน

จานรองสี

ถ้วยใส่น้ำเปล่า

ฟองน้ำ


ขั้นตอนการทำ

ใส่กระดาษแข็งไว้ด้านใน เพื่อปกป้องไม่ให้สีซึมจากด้านหน้าไปด้านหลัง
นำฟองน้ำชุบน้ำ มาทำลายให้เสือ ต้องการจะใส่สีตรงไหนก็น้ำฟองน้ำไปกดทับ
เพื่อให้สีไม่กระจายไปทั้งตัว (ฟองน้ำชุบน้ำหมาดๆ พอนะคะ)
เมื่อได้ส่วนที่ต้องการจะใส่สีแล้ว เลือกสีที่ชอบ ถ้าจะให้ได้สีพาสเทลดังรูป ควรใช้สีฟ้า ชมพู สีม่วง แต่งเติมสีสันได้ตามสไตล์ของตัวเอง
นำกระดาษแข็งที่รองไว้ด้านในออก ตากเสื้อในที่มีลมโกรดให้แห้ง เสร็จแล้วก็สวยพร้อมใส่ เหมือนได้เสื้อตัวใหม่แล้วค่ะ

Tip

ไม่ให้สีเพ้นท์ซีดจาง ไม่ควรซักบ่อย
การแขวนเสื้อผ้าจะช่วยป้องกันไม่ให้สีแตกมากกว่าการพับ เว้นแต่ว่าคุณเพ้นท์ลายในส่วนข้อพับต่างๆ สีตรงส่วนนั้นอาจจะหลุดได้ค่ะ
คุณสามารถซักเสื้อผ้าที่เพ้นท์ได้ตามปกติ แนะนำให้ซักมือจะดีกว่าปั่นเครื่องค่ะ
สุดท้าย ห้ามรีบผ้าทับลายที่เพ้นท์โดดเด็ดขาด เมื่อสีโดนความร้อนอาจจะทำให้ละลายเลอะไม่สวยงามเหมือนเดิมได้นะคะ
ขอบคุณภาพประกอบ : http://pinterest.com/

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Jumpsuit Fashion ที่หน้าหนาวต้องมี

           หลายคนกำลังหาไอเทมสุดชิคเตรียมไปเที่ยวรับลมหนาว หรือจะเอาไว้แต่งตัวไปทำงาน ออกจากบ้านนัดมิตติ้งโดยมีอากาศเย็นเบาๆ ลองมาหา “Jumpsuit” ใส่ดูสิ รับรองชิ้นเดียวอยู่




“Jumpsuit” คืออะไร ?
หลายคนอาจจะแค่เคยเห็น แต่ก็ไม่รู้ซะทีว่ามันเรียกว่าอะไร บางคนก็เรียกแค่ว่าชุดติดกัน ชุดเอี๊ยม ประมาณนี้ สรุปแล้ว Jumpsuit ก็คือ ชุดหนึ่งชุดที่ท่อนบนกับท่อนล่างติดกัน โดยที่ท่อนล่างนั้นเป็นกางเกง ซึ่งเป็นได้ทั้งกางเกงขาสั้นและกางเกงขายาว ใส่แล้วก็จะรู้สึกคล่องตัว ดูทะมัดทะแมง ซึ่งถูกปรับมาจากชุดนักบินหรือนักแข่งรถมาก่อน และเหล่าดีไซเนอร์จึงหยิบแพทเทิร์นที่โดดเด่นมาปรับจนกลายเป็นแฟชั่นใหม่ของวงการ

“Jumpsuit” ควรแต่งแบบไหน ?
บางคนก็เข้าใจว่า ใส่ Jumpsuit ต้องใส่ชุดเดียว แต่อันที่จริงแล้วเราสามารถ Mix & Match ชุดตัวเก่งกับอย่างอื่นได้อีกด้วยนะ หากว่า เราเลือกใส่เป็นแบบทรงที่เป็นเกาะอก สายเดี่ยว แขนกุด เราก็หาเสื้อคลุมเก๋ๆ มาใส่ให้ดูเข้ากัน อันนี้ก็ชิคไม่เบา อีกอย่างท้าลมหนาวได้อย่างสบายเลย
สำหรับท่อนล่างที่เป็นกางเกง ถ้าเราเลือกใส่แบบขายาว ก็จะแฝงไปด้วยความเก๋ เป็นสาวเปรี้ยวที่ดูมีความคล่องตัว จะมีสีเรียบๆ ลายคลาสสิค หรือสีสดใสก็แตกต่างไปแล้วแต่โอกาสนั้นๆ หรือถ้าเราจะเลือกใส่แบบขาสั้น อันนี้ก็จะได้ลุคที่ดูมีความสดใส สนุก ซุกซน เปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่ง
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับไอเทมสุดชิคที่นำมาเสนอในวันนี้ รับรองหนาวนี้ มา Mix & Match ชุด Jumpsuit ไว้ออกไปทำงาน หรือออกเที่ยว ก็ง่าย สบาย แถมดูดีมีสไตล์อีกด้วย อ่ะ . ..

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สวยไม่เสี่ยง! ลดน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติ

           จากพฤติกรรมการกินอาหารแบบตะวันตก และการดำรงชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ใส่ใจดูแลสุขภาพตัว เองกันน้อยลง โดยเฉพาะพฤติกรรมการกินอาหาร หวาน มัน เค็ม ไม่กินผัก และไม่ค่อยออกกำลังกายเป็นประจำ ส่งผลหลายคนให้เกิดภาวะ โรคอ้วน ที่เสี่ยงต่อโรคภัยอย่างคาดไม่ถึง

คนไทยอ้วนขึ้นจริงๆ นะ
ต้องยอมรับว่าโรคอ้วน เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพมาแรงอันดับต้นๆ ของเมืองไทย และมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงสูงขึ้น จนหลายหน่วยงานต้องรีบออกมารณรงค์แก้ไข ให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น

จาก ผลการศึกษาล่าสุดของกรมอนามัย พบว่า กลุ่มคนที่ทำงานออฟฟิศในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีภาวะอ้วนลงพุงเฉลี่ยร้อย 69.7 เป็นเพศชายร้อยละ 50.9 และเพศหญิงร้อยละ 75.2 เป็นผลให้คนไทยในเวลานี้ติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่มีคนอ้วนสูงสุดแถบเอเชีย-แปซิฟิก คือประมาณ 10 ล้านคนและในรอบ 5 ปีมานี้พิษของความอ้วนยังทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน และมะเร็งเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า

ขณะเดียวกัน กระแสความใส่ใจสุขภาพและความสวยความงามที่ กำลังได้รับนิยมในปัจจุบัน ก็ทำให้คนไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการลดความอ้วนมากกว่า 1,800 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 20% ในปี 2551หรือเฉลี่ยคนละ 900-2,600 บาทต่อเดือน

ความอ้วน คืออะไร

เชื่อเลยว่าทุกวันนี้สาวๆ ไม่มีใครอยากอ้วนกันใช่ไหม แต่ความอ้วนก็มักจะถามหาคนกินตามใจปากอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะคนที่ชอบกินเนื้อสัตว์ ของทอด ของหวานมัน และแป้งที่ขัดขาวแล้ว ความอ้วนมักเริ่มที่แก้ม พุง สะโพก ต้นขา แล้วก็ลามไปทั่วตัว ทำให้น้ำหนักค่อยๆ เพิ่มๆ ขึ้น และมีโรคภัยไข้เจ็บตามมาโดยไม่รู้ตัว

แต่ ในลำดับแรก สาวๆ ควรทำความเข้าใจก่อนว่า “ความอ้วน” คือการที่มีปริมาณไขมันในร่างกายจำนวนมากเกินจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ ปัจจุบันมีผลสำรวจรายงานว่า คนไทยประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วนมากถึง 29.7 % ของจำนวนประชากร สาเหตุของโรคอ้วนนี้มาจากหลายปัจจัยหลายประการได้แก่ กรรมพันธุ์ การเลี้ยงดู จำนวนเซลล์ไขมันในร่างกาย พฤติกรรมการบริโภคอาหาร วัย และการขาดการออกกำลังกาย ฯลฯ

ลดความอ้วนด้วยศาสตร์ธรรมชาติ
ยิ่งทุกวันนี้ กระแสค่านิยมที่ว่า ความผอม คือความสวย ทำให้สาวๆ รูปร่างตุ้ยนุ้ย พยายามหาวิธีลดน้ำหนักให้กับตัวเองสารพัดรูปแบบ ตั้งแต่วิธีการง่ายๆ อย่างการออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ไปจนจ่ายเงินเข้าคอร์สลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน หรือแม้กระทั่งซื้อยาลดน้ำหนักมากินเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีอันตรายซ่อนเร้นอยู่ แต่หลายคนก็ยอมเสี่ยง เพื่อความสวย จนมีข่าวว่าหลายคนกินยาลดความอ้วนมากเกินไป จนเกิดอาการช็อก และเสียชีวิตมาแล้ว อย่างเช่นล่าสุด กรณีนักศึกษาสาวจีน มหาวิทยาลัยชื่อดัง กินยาลดความอ้วนเกินขนาดจนเกิดอาการช็อกเสียชีวิตคาห้องพัก


เราจึงรวบรวมศาสตร์ลดน้ำหนัก ที่ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพมาแนะนำกัน อาทิ

- ดลจิตลดความอ้วน หนึ่งในเทคนิคการลดความอ้วนของสาวๆ ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย วิธีการนี้เป็นการประยุกต์ศาสตร์ด้านจิตวิทยาและโภชนาการมาควบคุมพฤติกรรม การกิน โดยโปรแกรมนี้จะใช้เวลารักษาต่อเนื่องเดือนละ 21วัน และต้องรับการรักษาให้ครบคอร์สอย่างน้อย 3 เดือนหรือ 5 เดือน

- กินช้าๆ กินอาหารช้าๆ และเคี้ยวให้นานขึ้น เพื่อให้เราไดเซึมซับรสชาติให้มากที่สุด งดอาหารหวานๆ เพราะการกินแป้งและน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้อ้วนได้ แล้วเน้นกินอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผักและผลไม้ และงดการกินจุบจิบในระหว่างมื้อ ให้ดื่มเปล่าเพียงอย่างเดียว ก็จะช่วยให้น้ำหนักค่อยๆ ลดลงได้

+ เล่นโยคะ หลายคนพอจะรู้อยู่แล้วว่า การเล่นโยคะ เป็นวิธีการออกกำลังกายอย่างหนึ่งที่ช่วยฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ สำหรับคนที่มีน้ำหนักเกิน การฝึกโยคะเป็นประจำก็จะช่วยให้คุณได้ออกกำลังกายมากขึ้น โดยไม่มีผลกระทบต่อกระทบกระแทกของกระดูกและข้อต่างๆ เหมือนการเต้น T 25 การเต้นแอโรบิก วิ่งมาธาราธอน หรือขี่จักรยาน

+ ฝังเข็มลดน้ำหนัก การลดน้ำหนักทางการแพทย์แผนจีน ที่ช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนต่างๆ ของร่างกาย อาทิ สะโพก ต้นขา ต้นแขน หรือหน้าท้อง เพราะการฝังเข็มจะช่วยในเรื่องดึงพลังงาน กระตุ้นพลังงานหรือเรียกว่าพลังงานลมปราณ (ชี่) ซึ่งเมื่อพลังงานวิ่งเลือดลม ก็จะวิ่งตาม และเมื่อพลังงานวิ่งดีเลือดลมก็วิ่งดีด้วย
ความอ้วนหรือน้ำหนักส่วนเกินกำลังเป็นปัญหาหนักอกหนักใจของคุณ สาวๆ ในยุคนี้ที่ต้องการกำจัดให้หมดไป ชนิดที่เรียกว่าหาทุกวิถีทางแทบพลิกแผ่นดินกันทีเดียว เพื่อและรูปร่างที่สวยงามและความมั่นใจ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ จุดมุ่งหมายปลายทางของการลดความอ้วน ไม่ใช่เพื่อความสวยหล่อเพียงอย่างเดียว แต่สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและห่างไกลจากโรคต่างหาก คือสิ่งที่ทุกคนควรใฝ่ฝันและปรารถนา
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.istockphoto.com/

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

5 เรื่องเศร้า ของสาว นมใหญ่

            เชื่อว่าสาวๆ หลายคนอยาก “หน้าอกใหญ่” จนต้องโกย ดัน จนถึงขั้นไปศัลยกรรมอัพไซส์ แต่คุณจะรู้ไหมว่า นมใหญ่ไม่ได้ดีอย่างที่คิด!

            ใคร ที่หน้าอกหน้าใจใหญ่เกินหน้าเพื่อน จะต้องมีเสียงกรีดร้องเข้าหูอยู่เรื่อยๆว่า “อิจฉา” “อยากใหญ่แบบนี้บ้าง” “แบ่งให้บ้างสิ” แหม.. นมนะ ไม่ขนมเค้กที่จะตัดแบ่งกันได้ง่ายๆ ถ้าแบ่งให้ได้จะยกให้เลย นมใหญ่ลำบากแค่ไหน ไล่ทีละข้อเลยแล้วกัน


1. หาเสื้อผ้าใส่ยาก สาวๆคัพใหญ่ กว่าจะหาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วสวยได้ช่างยากเย็น เพราะมัน ‘ติดนม’... เสื้อเชิ้ตกระดุมปริ คอกลมทำให้ตัน คอวีใส่แล้วโป๊ บางทีต้องใส่เสื้อโคร่งๆเพื่อให้พอดีหน้าอก กลายเป็นว่าดูอ้วนเกินจริงไปเลย

2. ยกทรงสไตล์คุณป้า สาวคัพซีขึ้นไป อย่าหวังจะได้ใส่ยกทรงลายน่ารักๆ สีสันสดใส เพราะมันไม่มี! ทางเลือกมีแค่เสื้อในสีพื้น และลายลูกไม้ ขาว ดำ และสีเนื้อ ทุกวันนี้แทบแยกไม่ออกว่าตัวไหนเสื้อไหนแม่ ตัวไหนเสื้อในเรา บอกเลยว่าเซ็ง!

3. หนัก แน่น ยาน เอาจริงๆไม่เคยชั่งนมตัวเองหรอกนะ แต่ข้อมูลบอกว่า สาวๆคัพซีขึ้นไป จะมีหน้าอกหนักข้างละ 1 กก. เท่ากับว่าจะต้องแบกน้ำหนัก 2 กก.ไปตลอดชีวิต นอนคว่ำลำบาก ปวดคอ ปวดหลัง แถมหย่อนยานง่ายอีกต่างหาก

4. ตกเป็นเป้าสายตา บางครั้งอยากจะบอกคุณผู้ชายทั้งหลายว่า “มองหน้าสิคะ อย่ามองแต่นม” บางทีแต่งหน้าทาปากมาอย่างเจิดแต่คนไม่สนใจ เพราะมัวแต่มองหน้าอกอยู่ ซึ่งมันก็เกี่ยวเนื่องกับข้อ 1 ว่าใส่อะไรก็ดูโป๊ ทั้งที่เราไม่ได้อยากโชว์ตรงนั้นซักนิด

5. ทำให้ใหญ่ง่ายกว่าทำให้เล็ก มีคนเคยพูดกว่า “ฉันยัดให้ใหญ่เท่าเธอได้ แต่เธอทำให้เล็กเท่าฉันได้ไหมล่ะ” ก็เดี๋ยวนี้มีทั้งยกทรงดูมๆ ใส่แล้วเด้งขึ้นมาทันตา แต่ถามว่าสาวนมใหญ่จะเอาที่เกินไปไว้ที่ไหน?

ถ้า เป็นแค่คนธรรมดา ไม่ต้องโชว์อึ๋ม ขายความเซ็กซี่แบบดารา ขอแนะนำว่าอย่าไปศัลยกรรมอัพไซส์ให้เจ็บตัวเลย สมัยนี้ตัวช่วยหลากหลาย ใครอยากดูมีของก็เสริมๆยัดๆ เป็นครั้งคราวไป สบายกว่าเยอะ

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

5 เมนูสุขภาพที่ต้องมีไว้ในตู้เย็น!

          ตู้เย็นมีไว้เพื่อเก็บอาหาร ไม่ใช่เครื่องสำอางนะจ๊ะสาวๆ ยิ่งเก็บอาหารเป็น เก็บของดีมีประโยชน์ วันหิวๆ เราจะขอบคุณตู้เย็นเป็นอย่างมาก แต่ของควรเก็บกับของที่ควรกินแต่แรกให้หมดก็มีนะเออ

         การจัดสรร พื้นที่ในตู้เย็นเป็นวิชาอย่างนึงที่ควรรู้ แต่อาหารที่ควรถูกจัดเก็บก็ยิ่งต้องรู้ไม่น้อยหน้ากัน เพื่อให้อาหารที่มีอยู่ได้เป็นสต็อกให้เราเตรียมทำอาหาร ที่สำคัญควรมีไว้ติดตู้เย็นเลยล่ะ เพราะรับประกันได้ว่าเมื่อวันที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น วันนั้นเราจะรอดตายแน่ๆ

1.ไข่ไก่ คนไทยชอบอยู่แล้วเพราะทำได้สารพัดเมนู จะเอามาเจียว ต้ม นึ่ง หรือเป็นอาหารเช้าแบบเร่งรัดได้แค่เอามาต้มกินกับซอส สัก 1-2 ฟองก็อิ่มไปทั้งเช้าหรือวันที่เหมือนขาดอะไรไปสักอย่างในจานพิเศษ ไข่ก็ยังนำมาผสมผสานให้น่ากินเข้าไปอีกได้ ไม่ว่าจะเป็นหม้อสุกี้ยากี้ ข้าวไข่ข้นหน้าแฮม (พอดีมีแฮมติดตู้แต่คิดเมนูไม่ออก) ไข่นี่ล่ะไม่มีไม่ได้เลย

2.นมสด เมื่อหิว หยิบนมมาดื่มสักแก้วก็อยู่ท้องแล้ว หรือวันไหนเกิดอาการปวดกระเพาะขึ้นมาก็ยังนำนมไปอุ่นดื่มได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ไม่ว่าเมนูเบสิกอย่างการกินกับซีเรียล เรื่อยไปถึงต้มยำน้ำข้น เลือกชนิดที่ไร้ไขมันก็ไม่มีใครว่าเพราะยังได้ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย เพราะนี่ล่ะแหล่งวิตามินดีและแคลเซียมเชียวนะ

3.ธัญพืช ของ ขบเคี้ยวตระกูลถั่วนี่ล่ะ ที่ช่วยให้ช่วงเวลาระหว่างมื้อถูกเติมเต็มได้ เพราะแค่หยิบมากินตอนท้องว่างก็ทำให้อยู่ท้อง (หรือจะตบนมหรือนมถั่วเหลืองร้อนตามอีกสักแก้ว) เพราะอุดมด้วยโปรตีน นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปโรยในจานซีเรียล ข้าวโอ๊ต โยเกิร์ต ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้อร่อยยิ่งขึ้น การเก็บในตู้เย็นยังช่วยลดกลิ่นหืนและการเกิดเชื้อต่างๆ ได้ด้วย

4.ขนมปังโฮลวีต มี เนื้อ มีโปรตีนแล้วก็ต้องมีแป้งติดไว้บ้าง ยิ่งเป็นแป้งแบบขนมปังโฮลวีตด้วยแล้ว จะยิ่งช่วยให้เราได้คุณค่าอาหารครบถ้วนขึ้น สามารถเอามาดัดแปลงเมนูง่ายๆ ได้เยอะแยะ ไม่ว่าปิ้งกินกับไข่ดาวสักแผ่นในช่วงเช้า ทำแซนด์วิชในวันที่หิวตาลาย หรือจะเอามาป่นแล้วชุบกับเนื้อสัตว์ก่อนทอด ก็ยิ่งทำให้มีสีสันน่ากินมากขึ้น ที่สำคัญไม่ต้องกลัวอ้วนด้วย

5.มะนาว นี่ล่ะอาหารชูรสภูมิปัญญาไทย เพราะไม่ใช่แค่การปรุงรสในอาหารให้ได้รสจี๊ดจ๊าด แต่ยังให้คุณค่าสารพัดประโยชน์ ไม่ว่าบีบใส่น้ำอุ่นดื่มตอนเช้าให้ถ่ายท้องง่าย ปรุงอาหารเมนูไทยให้ได้รสกลมกล่อม และยังครอบจักรวาลไปถึงงานบ้านได้ด้วย อย่างเช่น การบีบใส่คราบเหงื่อและน้ำมันชนิดต่างๆ บนเสื้อผ้าก็ช่วยให้ขจัดคราบได้ง่ายขึ้นแล้ว

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เทคนิคทำปากกระจับสวย โดยไม่ต้องศัลยกรรม

การศัลยกรรมปาก กลายเป็นหนึ่งในศัลยกรรมที่มีสาวๆ ตัดสินใจทำมากขึ้น แต่การศัลยกรรมปากแล้วปากบางไปบ้าง ปากเบี้ยวบ้าง ที่เป็นความพลาดทำให้หลายคนยังยั้งใจที่จะไม่พึ่งมีดหมอ
การศัลยกรรมปาก คือ การผ่าตัดแก้ไขปัญหารูปปากที่มีลักษณะไม่ได้รูปทรง หรือหนาและใหญ่เกินไป ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ อุบัติเหตุ และความไม่ชอบใจส่วนตัว จึงเป็นที่มาของการศัลยกรรมปากให้ดูสวยงามเรียวบาง และเป็นกระจับมากขึ้น

วันนี้ เรามีเทคนิคทำปากกระจับสวย โดยไม่ต้องศัลยกรรม ด้วยทริคเล็กๆ ในการทาปาก คุณก็จะมีปากเรียวงามกว่าเดิมได้แล้วค่ะ

2 อุปกรณ์อัพสวย
1. ดินสอเขียนขอบปาก
2. ลิปสติก (ในภาพเลือกลิปสติกที่มาในรูปแบบแท่งเหมือนกับลิปกลอส)

จะมีขั้นตอนอะไรบ้าง ตามมาดูกันได้เลย


1.ใช้ดินสอเขียนขอบปาก วาดกระจับปากเป็นเส้นทแยง
2. เส้นที่เขียนทั้งสองเส้น มองแล้วจะคล้ายเครื่องหมายกากบาทนะคะ
3. จากนั้นใช้ดินสอเขียนขอบปากด้านบน โดยวาดให้ตรงกับรูปปาก
4. ใช้ดินสอแท่งเดิม วาดขอบปากด้านล่าง วาดจากมุมปากเข้ามาถึงกึ่งกลาง ทำแบบนี้เหมือนกันทั้งสองข้าง
5. ทาลิปสติกไม่ว่าจะเป็นแบบแท่งหรือแบบที่มาในรูปแบบลิปกลอส เริ่มทาจากด้านบน ตามลูกศรในภาพประกอบได้เลยค่ะ
6. ทาอีกข้างให้เหมือนกัน โดยทาลงตามลูกศรเหมือนขั้นตอนที่ผ่านมาเลยค่ะ
7. ทาปากด้านล่างให้ตามปกติเลยนะคะ เก็บรายละเอียดให้ดี อย่าให้ลิปสติกเลอะเกินขอบปากจนดูเหมือนคนทาปากไม่เสมอกันนะคะ


Tip : สำหรับ สาวปากบางที่อยากจะเพิ่มความหนาให้กับรูปปาก แนะนำให้เขียนเกินขอบปากบนให้เกินออกมานิดนึง เน้นนะคะว่านิดเดียว การทาแบบนี้จะช่วย
ให้ปากบางๆ ของคุณ ดูหนาและยิ้มหวานขึ้นค่ะ


 ภาพประกอบจาก http://thebeautydepartment.com/

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ดื่มน้ำอย่างไรให้ได้ผลดี

          การดื่มน้ำ ที่เขาว่ากันว่าดื่มน้ำมากๆ ก็จะดี แต่ที่จริงแล้ว ร่างกายของเราต้องมีสมดุล เพราะฉะนั้นเราจึงควรรู้จักการดื่มน้ำที่ถูกต้องเพื่อผลดีกับร่างกายเรานะคะ

          สำหรับการดื่มน้ำที่ถูกต้องนั้น ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ 2-3 แก้วติดต่อกันในทันที หันมาใช้วิธีการดื่มไปเรื่อยๆ เพื่อให้ร่างกายได้นำน้ำเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ในส่วนต่างๆ ของร่างกายค่ะ และควรหยุดการดื่มน้ำพร้อมๆ กับการรับประทานอาหาร เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การย่อยไม่ดีได้ ควรเลือกดื่มน้ำก่อนการรับประทานอาหารอย่างมากไม่เกิน 1 แก้ว เพื่อให้น้ำย่อยมีประสิทธิภาพในการย่อยอาหารได้เต็มที่ หลังทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาที ค่อยดื่มน้ำตามปกติ เพื่อให้กระเพาะได้ทำการย่อยอาหารเสียก่อน

การแบ่งช่วงเวลาการดื่มน้ำ
นอกจากการดื่มน้ำที่ถูกต้องแล้ว ก็ยังต้องมีการแบ่งเวลาและปริมาณการดื่มน้ำที่ถูกต้องเพื่อให้ร่างกายได้ดูด ซับเอาไปใช้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์ เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะ ว่าเราต้องดื่มน้ำเวลาไหนและปริมาณเท่าไหร่กันบ้าง…
- ตื่นนอนตอนเช้าดื่ม 1 แก้ว เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ
- ตอนสายๆ ประมาณ 2 แก้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทํางานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้นจึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชําระของเสียเหล่านั้นออกไป
- ตอนบ่ายๆ และตอนเย็น ช่วงละประมาณ 3 แก้ว
- ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลําไส้และกระเพาะอาหาร และยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น

ดื่มน้ำอุ่นสิดี
นอกจากการดื่มน้ำที่ถูกต้อง การแบ่งช่วงเวลาและปริมาณที่เหมาะสมแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญนั่นคือ การเลือกดื่มน้ำอุ่น นะคะ เพราะน้ำอุ่นนั้นดื่มง่ายกว่าน้ำธรรมดา เพื่อให้อุณหภูมิของน้ำที่ดื่มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย จะได้ไม่เป็นการไปดึงอุณหภูมิร่างกายให้เย็นลง อุณหภูมิโดยปกติของร่างกายคนเรานั้นอยู่ที่ 36-37 องศาเซลเซียส ถ้าเราดื่มน้ำเย็นๆ สัก 2 องศาเซลเซียส น้ำเย็นจะต้องไปดึงความร้อนของร่างกายมาทำให้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับร่างกาย การดูดซึมจะทำงานได้ ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานและเสียเวลาในการปรับสมดุลให้คืนสู่ปกติ
ดูซิ ! แค่การดื่มน้ำเนี่ย ยังต้องมีวิธีการดื่มที่ถูกต้องและปริมาณที่เหมาะสม แต่อย่าละเลยกันเป็นอันขาดนะคะ ดูแลร่างกายเราซะตั้งแต่วันนี้ เพื่อความแข็งแรงในวันหน้าค่ะ

ติดตามเรื่องราวของผู้หญิง ได้ทาง WomanPlus Magazine
ติดตามอ่านแบบออนไลน์ได้ที่ WomanPlus Magazine Online
หรือ ติดตามอ่านฉบับ Mobile App รายละเอียดได้ที่ http://www.womanplusmagazine.com/e-magazine

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

10 เหตุผลที่ลดน้ำหนักไม่ลงสักที

ลดอาหาร ออกกำลังกาย แต่ขึ้นตาชั่งทีไรน้ำหนักก็เท่าเดิม
 
1. คุณกินชดเชยหลังออกกำลังกายใช่ไหม?
สาว ๆ หลายคนเคยชินกับการให้รางวัลตัวเองด้วยของหวานสักชิ้น หรือน้ำหวานสักแก้วหลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก (ก็เพิ่งเบิร์นไปตั้งหลายแคลอรี่นี่นา) แต่การกินแบบนี้จะทำให้ที่คุณออกกำลังมาน่ะเหนื่อยเปล่า! แถมบางทีพลังงานที่คุณกินอาจจะมากกว่าที่เพิ่งใช้ไปด้วยซ้ำ

2. คุณอาจจะนอนไม่พอ
นอน ดึก ๆ หรือนอนน้อย ๆ ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายมีเวลาเผาผลาญพลังงานมากขึ้น แต่กลับทำให้ประโยชน์ที่ควรได้จากการออกกำลังกายลดลง และทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าคุณนอนไม่พอเมตาบอลิซึม จะทำงานช้าลงตรงข้ามกับความอยากอาหารที่เพิ่มขึ้น

3. คุณเครียดเกินไปไหม?
ยิ่ง คุณเครียดมากเท่าไหร่ น้ำหนักคุณก็ยิ่งเพิ่มขึ้นง่ายเท่านั้น เวลาเครียด ๆ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาทำให้ความอยากอาหารและการกักเก็บ พลังงานในรูปไขมันเพิ่มขึ้น (พุงจะยื่นเลยล่ะ)

4. คุณกินน้อยเกินไปล่ะมั้ง
กิน น้อยได้พลังงานน้อยก็จริง แต่ถ้ากินน้อยเกินไปร่างกายจะปกป้องตัวเองตามสัญชาตญาณด้วยการลดอัตราเมตาบอ ลิซึมลง เพื่อกักเก็บพลังงานเอาไว้ (ป้องกันไม่ให้อดตาย!)

5. คุณลดไม่ต่อเนื่องหรือเปล่า?
การ ลดอาหารและออกกำลังไม่ต่อเนื่องนั้น แย่ยิ่งกว่าการกินมาก ๆ ออกกำลังกายน้อย ๆ เสียอีก เพราะจะทำให้ร่างกายของคุณปรับตัวไม่ทัน ดีไม่ดีตอนที่คุณกำลังกินอย่างเพลิดเพลิน ร่างกายอาจกำลังเร่งเก็บพลังงานไว้ใช้ตอนที่คุณลดน้ำหนักก็ได้

6. คุณไม่ได้อยากลดน้ำหนักจริง ๆ
ถาม ตัวเองให้แน่ ๆ ว่าคุณอยากจะลดน้ำหนักแบบจริงจังหรือเปล่า เพราะถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจจริง ไม่นานคุณก็จะเบื่อและท้อ พอมีอะไรมายั่วหน่อยก็อยากกิน อาจจะเดี๋ยวทำเดี๋ยวเลิกจนไขมันพุ่งขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก

7. คุณออกกำลังไม่หลากหลายล่ะสิ
ออก กำลังกายอยู่อย่างเดียวจนเป็นกิจวัตรประจำวันนอกจากจะน่าเบื่อแล้ว ยังทำให้การเบิร์นไม่ได้ผลเท่าเดิมด้วยนะ เพราะคุณเคยชินกับมันจนเกินไปยังไงล่ะ ปรับเปลี่ยนซะบ้างนะ

8. น้ำหนักที่เห็นอาจไม่สัมพันธ์กับไขมันก็ได้
น้ำ หนักที่คุณชั่งได้มีทั้งน้ำหนักของน้ำ มวลกล้ามเนื้อ แล้วก็ไขมัน การออกกำลังกายมาก ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมาแทนที่ไขมันที่หายไป คุณถึงยังน้ำหนักเท่าเดิมยังไงล่ะ

9. คุณอาจใจร้อนเกินไป
ร่างกาย คนเราไม่เหมือนกัน บางคนออกกำลังแป๊บเดียว น้ำหนักก็ลดลงไปเห็น ๆ แต่บางคนอาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หรืออาจจะเป็นเดือน อย่าใจร้อน! ให้เวลากับตัวเองหน่อย ถ้าคุณพยายามเดี๋ยวก็เห็นผลเอง…ไม่ต้องรีบ

10. บางทีคุณอาจจะเป็นโรค (ที่ไม่เคยรู้)
โรค บางโรค เช่น ภาวะมีถุงน้ำที่รังไข่ (PCOS) ต่อมธัยรอยด์ผิดปกติ หรือฮอร์โมนที่ไม่สมดุล อาจจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และลดลงได้ยาก หากรู้สึกผิดปกติมาก ๆ ออกกำลังกาย และควบคุมอาหารมาเป็นเดือน ๆ น้ำหนักก็ไม่หายไปเลย ลองปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายดู

ที่มา Women to Women
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.istockphoto.com/

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

5 วิธีดูแลผมให้นุ่มสลวยมีน้ำหนักเงางามก่อนหน้าหนาวมาถึง

          ผู้หญิงหลายคนที่ไว้ผมยาวล้วนจะต้องรักผมด้วยกันทั้งนั้น และไม่ว่าคุณจะไว้ผมยาวหรือสั้นเพียงใด หากผมของคุณมีปัญหาหยาบกระด้างรวมถึงมีปัญหาแตกปลายกันบ่อยๆ วันนี้เรามาเร่งบำรุงผมให้สวยก่อนหน้าหนาวมาถึงกันดีกว่า จะได้รับมือไม่ให้ลมหนาวทำลายผมให้ยิ่งแห้งเสียไปมากกว่านี้นั่นเองค่ะ
5 วิธีดูแลผมให้นุ่มสลวยมีน้ำหนักเงางามก่อนหน้าหนาวมาถึง

1.หมั่นเล็มผมแตกปลายอยู่เสมอ
โดยปกติ เส้นผมของคนเราล้วนแล้วแต่จะต้องเคยผ่านการทำสี ยืด ดัดและทำทรงต่างๆ ที่ต้องผ่านการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งสิ้น ไหนจะสเปรย์จัดแต่งทรง เอาง่ายๆ แค่สาวๆ ตากแดดตากลมบ่อยๆ เพียงแค่นี้ผมก็ง่ายที่จะแตกปลายกันได้แล้วค่ะ เพราะฉะนั้น ยิ่งหากคุณเป็นสาวผมแห้งด้วยแล้ว ขอแนะนำให้หมั่นเล็มผมแตกปลายอยู่เสมอดีกว่าจะได้แก้ปัญหาผมไม่ให้แตกปลายใน หน้าหนาวหนักกว่าเดิมนั่นเอง

2.บำรุงด้วยน้ำมันจากธรรมชาติ
ก่อนสระผมหรือหลังจากสระผมเสร็จแล้ว สามารถนำน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวเล็กน้อยมาชโลมปลายผมเพื่อบำรุงกันได้ นะคะ แต่หากชโลมก่อนสระผมก็ชโลมได้เลยเต็มที่เหมือนหมักทิ้งไว้ก่อนสระนั่นเอง โดยหมักทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วจึงสระผมตามปกติ สุขภาพเส้นผมก็จะชุ่มชื้นมากขึ้นและลดปัญหาผมหยาบกระด้างได้แล้วค่ะ
5 วิธีดูแลผมให้นุ่มสลวยมีน้ำหนักเงางามก่อนหน้าหนาวมาถึง

3.ทรีทเมนท์ผมสัปดาห์ละครั้ง
หาเวลาสัก 1 ครั้งในสัปดาห์อาจจะเป็นวันหยุดงานของคุณมาหมักผมกันบ้าง โดยนำไข่แดง 1 ฟองมาผสมกับน้ำมันมะกอกหรือโยเกิร์ตก็ได้ จากนั้นหมักให้ทั่วทั้งศีรษะ 30 นาทีแล้วล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นจึงสระผมตามปกติต่อไป

4.หยุดรังแกผมด้วยสารเคมีต่างๆ
ใครที่ชอบทำสีผม ดัดผม ยืดหรือทำผมที่จะต้องผ่านการใช้สารเคมีล่ะก็ จงพยายามหยุดหรือหลีกเลี่ยงการทำร้ายผมดังกล่าวไปก่อนนะคะ เพราะเมื่อหน้าหนาวมาถึงแล้ว สภาพเส้นผมมันจะยิ่งหยาบกระด้างมากขึ้น แถมอาจจะทำให้ยิ่งล่าช้าต่อการฟื้นฟูให้กลับมามีสุขภาพดีอีกครั้งได้ด้วย
5 วิธีดูแลผมให้นุ่มสลวยมีน้ำหนักเงางามก่อนหน้าหนาวมาถึง

5.ใช้เซรั่มบำรุงผมเพื่อป้องกันความร้อนเป็นประจำ
จริงๆ แล้ว หากสาวผมแห้งและแตกปลายหนักมาก ถ้าต้องการให้หยุดแตกปลายและมีสุขภาพผมนุ่มสลวยมีน้ำหนักเร็ว ควรเลิกทำผมด้วยอุปกรณ์ความร้อนไปก่อน แต่หากจำเป็นต้องใช้จริงๆ แนะนำให้ชโลมผมด้วยวิตามินหรือเซรั่มป้องกันความร้อนเสียก่อน แถมวิตามินหรือเซรั่มดังกล่าวยังมีอาหารผมหลายชนิดที่จะเข้าไปซ่อมแซมดูแล และบำรุงผมให้นุ่มชุ่มชื้นมีสุขภาพดีมากขึ้นได้ด้วย

          อย่างไรก็ตาม หากสาวๆ ต้องการให้สุขภาพผมดีมากกว่านี้ อย่าลืมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปกป้องแสงแดดในตัวด้วยนะคะหรืออาจจะสวมหมวกคลุม ผมหรือหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดก็ได้ค่ะ เพียงหมั่นดูแลผมเป็นประจำด้วยวิธีเหล่านี้ เมื่อหนาวหนาวมาถึงสุขภาพผมของคุณก็จะยังคงความสวยเงางามและยากต่อการถูกลม หนาวทำลายได้แน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เมียงดง แหล่งช้อปของเกาหลีที่สาวๆ ห้ามพลาด!

           จุดน่าสนใจของประเทศเกาหลีนั้นมีหลายอย่าง แต่สำหรับชะนีรักสวยรักงามอย่างเราคงไม่พ้นเรื่องเครื่องสำอาง สกินแคร์บำรุงผิว อย่าง etude ,skinfood แบรนด์ดังที่ขายดีมากๆ ในบ้านเรา นี้แหละที่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อยู่ในลิสต์ที่เกรดดี้ต้องเข้าไปละลายเงินวอน ก็แหม! ราคาที่เกาหลีถูกกว่าที่ไทยเห็นๆ แต่ก็เข้าใจนะคะว่าของแท้ที่ขายตามร้านในไทยนั้น เค้าต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ค่าภาษีต่างๆ มากมายกว่าจะวางขายได้อย่างถูกต้อง ถ้าใครไม่ได้บินตรงไปเกาหลีเก็บเงินซื้อที่เคาน์เตอร์ไทย อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าเป็นของแท้แน่นอนดีกว่าเสี่ยงหน้าพังเพราะเห็นแก่ ของถูกนะคะ



มาต่อกันที่แหล่งช้อปปิ้งในดวงใจที่เกรดดี้อยากแนะนำให้สาวๆ ไปเดินช้อปกันนั่นคือ ตลาดเมียงดง (Myeongdong) แหล่งช้อปปิ้งอันดับ 1 ของเกาหลีรวบรวมแฟชั่นของเกาหลี ร้านต่างๆ จะอยู่ตามถนน ในซอยต่างๆ เต็มไปด้วยร้านเครื่องสำอาง เสื้อผ้าตั้งแต่ราคาเบาๆ ไปจนถึงแบรนด์เนมชื่อดัง


          ว่าแล้วเราก็มาเริ่มต้นกันที่ร้าน Etude เลยดีกว่า เมื่อได้ก้าวเท้าเข้าไปในร้านเหมือนโดนแรงดึงดูดเงินวอนบินร่อนออก จากกระเป๋าสตางค์เลยจ้า ซื้อทั้งมาส์กหน้า แป้งตลับ และดินสอเขียนคิ้ว ราคาถูกมากคิดแล้วราคา 70 บาทไทย คุณพระ! ถูกขนาดนี้เกรดดี้จัดมาทุกสีเลยจ้า อีกอย่างที่อยากแนะนำให้สาวๆ ที่ชอบทาลิปสติก นั้นก็คือ ลิปสติกแบบแท่งหมุนๆ ที่เค้าเครมไว้ว่าเอามาเขียนตาได้ เขียนขอบปากก็เริ่ด หลังจากที่ลองใช้ส่วนตัวคิดว่าบางสีเหมาะกับการทาปากมากกว่า เนื้อลิปสติกสีสวยชัดตามสีในแท่ง ติดทนระดับหนึ่ง ไม่เป็นคราบ ดีและถูกขนาดนี้ต้องมีนะคะ!
          ต่อด้วย Skinfood ไม่ต้องพูดอะไรมาก เดินมุ่งหน้าไปที่มาส์กหน้าอย่างรวดเร็ว ทางร้านจัดโปรโมชั่นซื้อครบ 1 แสนวอนลด 20000 วอน ซื้อครบ 2 แสนวอนลดไปเลย 40000 วอน โปรโมชั่นแน่นขนาดนี้เกรดดี้ไม่พลาด จัดแป้งตลับที่เนียนเด้งรุ่น Skinfood red orange เนื้อแป้งละเอียด เนียน ไม่ขาววอกจนเกินไป เกรดดี้เหมาะกับเบอร์ 2 สำหรับ สาวผิวขาวเหลือง ราคาเบาๆ 470 บาท ต่อด้วยมาส์กข้าว มาส์กไข่ ในราคาไม่ถึง 300 บาท ราคาถูกขนาดนี้ชะนีต้องหันมาบำรุงหน้ากันบ้างแล้วค่ะ
ยังไม่จบแค่นั้นยังสะดุดตากับเครื่องสำอางแบรนด์ clio กับพรีเซนเตอร์ Lee Hyori สุดยอดราชินีแด๊นซ์ของประเทศเกาหลี ไอเทมที่อยากแนะนำให้สาวหน้ามันลองใช้ คือ อายไลเนอร์เนื้อดินสอ เนื้อ ดี สีชัด เขียนง่าย ระหว่างวันไม่ไหล ไม่เลอะ ส่วนตัวเป็นคนหน้ามันมากๆ เมื่อเจอของดีแบบนี้เกรดดี้ต้องบอกต่อในราคาเพียงแค่ 372 บาท คุณก็ตาสวยเฉียวดูน่าค้นหาได้แล้วค่ะ
           American Appare แบรนด์ดังจากสหรัฐอเมริกาสำหรับสาวนักช้อปที่หลงรักเอวสูงอย่าง กางเกง disco pant กางเกงยีนส์ทรงต่างๆ อีกแบรนด์ที่สาวเอวสูงต้องร้องอ่อ...เรื่องราคาถูกกว่า ร้านพรีออเดอร์ในไทยแน่นอน แต่ก็ยังแพงกว่าบินตรงไปซื้อที่อเมริกานะคะ แต่ในเมื่อชะนีไทยใจกล้าไปถึงร้านทั้งที มีหรือจะไม่ลองไซส์ สุดท้ายเกรดดี้เสียเงินให้กับ กางเกง Easy Jean Short ขาสั้นเก็บทรงสวย ใครเป็นสาวกสั้นเสมอหู โหวตรุ่นนี้รับรองสวยชนะแน่นอนค่ะ
 
           เป็นอย่างไรกันบ้าง ถูกใจสาวไทยที่กำลังหาข้อมูลไปช้อปปิ้งไกลที่แดนกิมจิกันหรือเปล่า ครั้งหน้าเกรดดี้จะมารีวิวเครื่องสำอางตัวเด็ด ที่ใช้แล้วชอบมาแชร์ให้สาวๆ ได้รู้กันนะคะ ตอนนี้ขอตัวไปมาส์กหน้าให้สวยฉ่ำก่อนดีกว่าค่ะ บ๊ายยยยยยยยย!