การดีท็อกซ์ล้างสารพิษร่างกายเป็นเทรนด์ระดับโลกที่ได้รับความสนใจจากคนรักสุขภาพทั้ง
ในและต่างประเทศมาช้านาน
เนื่องจากยุคสมัยแห่งความเร่งรีบทำให้คนเราถูกรุมเร้าจากปัจจัยเสี่ยงต่อ
สุขภาพที่หลากหลายมากขึ้น นำมาซึ่งอาการป่วยซึ่งบ่อยครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ
การดีท็อกซ์ล้างสารพิษจึงได้กลายเป็น 1
ในวิธีดูแลสุขภาพแบบที่คนยุคนี้จับตามอง
พญ.
สิริธีรา ศรีจันทพงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก บาลานซ์ บาย ไฮโดรเฮลท์
คลินิกเวชศาสตร์ชะลอวัยแบบองค์รวม ระบุว่า
แม้ว่าธรรมชาติร่างกายของคนเรามีกลไกกำจัดของเสียอยู่แล้วผ่านตับ ไต
ลำไส้ใหญ่
แต่ด้วยสภาวะการใช้ชีวิตที่เร่งรีบของสังคมปัจจุบันทำให้เรามีร่างกายอ่อนแอ
ลง
อีกทั้งมีโอกาสที่จะได้รับสารพิษมากมายทั้งจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว
รวมถึงการกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ
ทำให้ระบบกำจัดสารพิษตามธรรมชาติในร่างกายอาจทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเพียง
พอ
เมื่อร่างกายมีสารพิษสะสมเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะของเสียที่ตกค้างอยู่ในตับและ
ลำไส้
จะนำไปสู่การอักเสบและการรั่วซึมของผนังเซลล์ทำให้สารพิษเข้าสู่กระแสเลือด
ทำให้เกิดอาการผิดปรกติและร่างกายเสียความสมดุล
สำหรับการแพทย์
เวชศาสตร์ชะลอวัยแบบองค์รวม เรียกอาการเหล่านี้ว่า “ภาวะร่างกายสะสมพิษ”
ซึ่งถึงแม้จะเราทานวิตามินอาหารเสริมที่มีประสิทธิภาพและประโยชน์มากเพียงใด
ก็ไม่สามารถช่วยได้มากนัก
เพราะสารพิษที่สะสมทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินที่ทานเข้าไปได้อย่าง
เต็มที่
ทั้งนี้ การล้างพิษหรือที่คนไทยมักเรียกสั้นๆว่า “ดีท็อกซ์” ย่อมาจากคำว่า Detoxification
คือ การนำเอาสารพิษออกจากร่างกาย จริงๆ
แล้วเป็นวิธีปฏิบัติของแพทย์ทางเลือก สาขาธรรมชาติบำบัด โดยมีรูปแบบหลักๆ
ด้วยกัน 6 วิธี ได้แก่ 1.อดอาหาร 2.ควบคุมอาหารบางอย่าง 3.ดื่มน้ำผักผลไม้
4.รับประทานอาหารเสริม 5.สวนล้างลำไส้ 6.ผสมผสานวิธีข้างต้นเข้าด้วยกัน
“คน
เราจะสุขภาพดีหรือไม่ดี ดูได้จากลำไส้ สังเกตได้จากว่า ท้องอืดไหม
ถ่ายสะดวกไหม เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของระบบย่อยอาหารทั้งหมด ถ้าลำไส้ดี
สุขภาพด็จะดีตามไปด้วย
ซึ่งการดีท็อกซ์ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันโรคด้วยการล้างพิษออกจากร่าง
กาย
แต่ทั้งนี้ก็ควรต้องอยู่ภายใต้การดูแลและควบคุมโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่
ผ่านการอบรมจากสถาบันที่เชื่อถือได้
เพราะการทำดีท็อกซ์ด้วยตัวเองหากทำไม่ถูกวิธีหรือไม่มีความรู้ที่ถูกต้องอาจ
มีความเสี่ยงเกิดผลกระทบต่อร่างกายสูง” พญ. สิริธีรา กล่าว
จากการ
ตรวจพบว่าลำไส้เล็กมีความสำคัญมากที่สุดแต่คนส่วนใหญ่กลับละเลยใส่ใจในการ
ดูแล
ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกายโดย
ตรง หากรับประทานอาหารที่มีสารปนเปื้อนหรือมีสารพิษตกค้าง
ทำให้ลำไส้เกิดการอักเสบ สารพิษซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด
ทำให้เกิดโรคต่างๆมากมาย อาทิ ภูมิแพ้ สิวที่รักษาไม่หาย
ข้ออักเสบรูมาตอยด์ และไทรอยด์อักเสบ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
อ่อนเพลียแบบไม่ทราบสาเหตุ รวมถึงมีผลกระทบต่อระบบเผาผลาญของร่างกายอีกด้วย
วิธีการดูแลลำไส้เล็กให้มีสุขภาพดี
ควรรับประทานอาหารที่ไม่มีสารพิษปนเปื้อน ถูกสุขลักษณะ
ไม่รับประทานอาหารซ้ำซาก และรับประทานแบคทีเรียชนิดดีที่มีประโยชน์
(โปรไบโอติกส์) ซึ่งอยู่ในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยว
เพื่อเสริมการช่วยย่อยให้มีประสิทธิภาพให้ดีขึ้น
หลังจากอาหารผ่านลำ
ไส้เล็กมากแล้วจะเข้าสู่ลำไส้ใหญ่
หากลำไส้ใหญ่ทำงานดีจะส่งผลให้มีสุขภาพที่ดีตามไปด้วย
แต่การขับถ่ายในชีวิตประจำวันไม่สามารถกำจัดของเสียและสารพิษออกมาได้ทั้ง
หมดยังคงมีตกค้างในลำไส้ส่วนลึก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร
และมะเร็งในลำไส้ได้
วิธีการดูแลลำไส้ใหญ่ให้มีสุขภาพดี
การสวนล้างลำไส้ (Colon Hydrotherapy) เป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม
ซึ่งจะช่วยล้างของเสียและสารพิษที่สะสมมาเป็นเวลานาน
การไม่ล้างลำไส้ก็เปรียบเสมือนการกินข้าว
แล้วไม่ล้างจานมื้อต่อไปก็ใช้จานใบเก่ามาใส่ข้าวกินใหม่นั่นเอง
และเมื่อลำไส้อยู่ในสภาวะที่สะอาดสมดุล
แบคทีเรียที่ดีในลำไส้จะสามารถอยู่อาศัยและเจริญเติบโตเพื่อสร้างวิตามินและ
ภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้
ซึ่งสำหรับบุคคลโดยทั่วแนะนำให้การล้างลำไส้เดือนละ1ครั้ง
เป็นประจำทุกเดือนเพื่อกำจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
นอก
จากนี้การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงต่อในแต่ละวันเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
ควรดื่มน้ำตามน้ำหนักตัวโดย 20 กก. แรกควรดื่มให้ได้ 1500 CC และอีกแต่ละ 1
กก. ควรดื่มเพิ่มอีก 20 CC เพราะฉะนั้นผู้ที่มีน้ำหนัก 60 กก.
ควรดื่มน้ำสะอาดต่อวันเท่ากับ 2,300 CC หรือ 2.3 ลิตร
เพราะหากดื่มน้ำน้อยจะส่งผลทำให้การดูดซึมน้ำในลำไส้ใหญ่มีปัญหาเกิดภาวะ
อุจจาระแข็งตัว ขับถ่ายไม่สะดวกและเกิดอาการท้องผูกได้
อย่างไรก็ตาม
พญ.สิริธีราย้ำว่า
ผู้ที่ทำดีท็อกซ์ล้างพิษจำเป็นต้องตรวจเช็คสภาพร่างกายให้แน่ใจก่อนว่าพร้อม
ต่อการดีท็อกซ์ เพราะแต่ละคนมีสุขภาพร่างกายไม่เหมือนกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยง คือ
ผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบลำไส้ใหญ่ ผู้ที่เคยผ่าตัดลำไส้มาก่อน
ผู้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงรุนแรง เด็ก สตรีมีครรภ์
คนที่มีร่างกายอ่อนเพลียมาก และผู้ป่วยช่องท้องอักเสบ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น