“โอย...โอย...ปวดท้องอีกแล้ว มีประจำเดือนทีไรปวดท้องน้อยทุกทีเลย”
ขอบคุณภาพประกอบ : http://kimberlysnyder.com
อาการปวดท้องน้อยเรียกได้ว่าเป็นโรคฮิตที่เกิดขึ้นกับผู้หญิง
และถือว่าเป็นอาการอันดับหนึ่งที่ทำให้คุณผู้หญิง
ต้องมาพบสูตินารีแพทย์เพื่อตรวจและรักษา บางคนเป็นแค่ชั่วคราวอาการก็หายไป
แต่บางคนเป็นเรื้อรังไม่หายสักที เบื้องต้นควรเข้าใจให้ตรงกันว่า
บริเวณท้องน้อยของคุณผู้หญิงที่หมายถึงนั้น ก็คือบริเวณช่องท้องส่วนล่าง
นับตั้งแต่ตำแหน่งสะดือลงมาจนถึงขอบบนของกระดูกเชิงกราน
บริเวณทั้งหมดนี้จะมีอวัยวะสำคัญ ได้แก่
มดลูก ปีกมดลูกทั้งสองข้าง(คือท่อนำไข่และรังไข่ทั้งสองข้าง)
กระเพาะปัสสาวะอยู่ด้านหน้าของมดลูก
ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และไส้ติ่ง
ท่อไตทั้งสองข้างที่อยู่ในผนังช่องท้องด้านหลัง
ที่สำคัญทุกอวัยวะดังกล่าวสามารถทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยได้ทั้งสิ้น
โดยอาจจะเกิดจากการอักเสบ การบาดเจ็บ การเป็นเนื้องอกหรือเป็นมะเร็ง
แม้กระทั่งการผิดปกติมาแต่กำเนิด เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น
1.โรคของอวัยวะสืบพันธุ์สตรี คือ มดลูก และรังไข่ที่ทำให้ปวดท้องน้อยได้บ่อยๆ
- กลุ่มที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ที่ทำให้ปวดท้อง เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูก การแท้งลูก เป็นต้น
- กลุ่มที่ไม่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เช่น การอักเสบในอุ้งเชิงกราน ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ผิดที่(ช็อคโกแลตซีสต์)
- การปวดประจำเดือนที่มดลูกและรังไข่ปกติ การมีเนื้องอกของมดลูก มีเนื้องอกของรังไข่ที่มันแตกหรือบิดขั้ว เป็นต้น
2.โรคของระบบทางเดินปัสสาวะ คือ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือมีนิ่วในกระเพาะปัสสาวะหรือที่ท่อไต เป็นต้น
3. โรคของระบบทางเดินอาหารที่ทำให้ปวดท้องน้อย ที่พบบ่อย เช่น
ไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อักเสบ หรือมีการทำงานของลำไส้แปรปรวน มีท้องเสียบ้าง
ท้องผูกบ้าง หรือการมีเนื้องอกหรือมะเร็งของลำไส้ เป็นต้น
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.whoknewtips.com/
แนวทางการรักษา
- แพทย์ผู้ดูแลจะทำการซักถามประวัติความเป็นมาต่างๆ
ลักษณะการปวดว่าเป็นแบบใด ปวดที่ตรงไหน ปวดเวลาใด เวลาปวดสัมพันธ์กับอะไร
เช่น มีคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ปัสสาวะลำบาก
หรือมีเลือดออกมาจากทางช่องคลอดด้วยหรือไม่ เป็นต้น
- การตรวจร่างกายทุกๆ ระบบ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงก็ต้องตรวจภายในด้วย
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ เช่น การเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ
อาจจะมีการถ่ายภาพรังสีเอ็กเรย์ การตรวจด้วยอัลตราซาวด์
และการตรวจพิเศษอื่นๆ ตามความจำเป็น เช่น ต้องส่องกล้องเข้าไปดูในช่องท้อง
หรือส่องดูในลำไส้หรือไม่ เป็นต้น
เมื่อได้ข้อมูลเพียงพอสำหรับการวินิจฉัยโรคแล้ว
ก็จะให้การรักษาตามที่คิดว่าจะเป็นโรคนั้นๆ ไป ซึ่งอาจจะเป็นการให้ยา
การผ่าตัด
การนัดตรวจติดตามเป็นระยะหรือแม้กระทั่งการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวก็
เพียงพอแล้วสำหรับโรคบางโรค
แต่จากความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันทำให้เกิดเทคโนโลยี
“การผ่าตัดผ่านกล้อง” ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่จะตอบโจทย์ของผู้ป่วยได้ดี
“การผ่าตัดผ่านกล้อง”
เป็นการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ในการผ่าตัด
แพทย์ผู้ผ่าตัดจะทำการผ่าตัดผ่านเครื่องมือขนาดเล็ก
โดยการมองผ่านกล้องที่ส่งสัญญาณภาพมายังจอทีวี โดยที่แพทย์จะเปิดแผลเล็กๆ
ขนาด 5-10 มม. บริเวณสะดือเพื่อใส่กล้องผ่าตัดเข้าไปและใส่ลม
(คาร์บอนไดออกไซด์) เข้าไปในท้องเพื่อทำให้เกิดช่องว่าง ให้ทำการผ่าตัดได้
คล้ายกับการเป่าลูกโป่ง จากนั้นแพทย์จะทำการเปิดแผลขนาด 5 มม. อีก 2-3
ตำแหน่งเพื่อใส่เครื่องมือผ่าตัด (ดังรูปที่แสดง)
ในปัจจุบันเรานำการผ่าตัดผ่านกล้องมาใช้ในการวินิจฉัยและรักษา ได้แก่
การผ่าตัดทางนรีเวชวิทยา คือ มดลูกและรังไข่ ทั้งเนื้องอกมดลูก (Myoma
Uteri) โดยเฉพาะโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่และช็อคโกแลตซีสต์
เนื่องจากภาพที่เราเห็นจากจอภาพรับสัญญาณนั้นจะมีกำลังขยายมากกว่าสายตาคน
ปกติได้ถึง 10 เท่า
ทำให้แพทย์สามารถตัดเอาเนื้อส่วนที่เป็นรอยโรคออกได้มากกว่า
เพื่อลดอัตราการกลับเป็นซ้ำของโรค
รวมทั้งการผ่าตัดรักษาการตั้งครรภ์นอกมดลูก เนื้องอกหรือซีสต์ที่รังไข่
เป็นต้น
นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งในบางระยะก็สามารถทำ
การผ่าตัดผ่านกล้องได้เช่นกัน
ทั้งนี้ขึ้นกับสภาวะของโรคซึ่งต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป
ข้อดีในการทำผ่าตัดส่องกล้อง
· แผลผ่าตัดเล็ก
· อาการปวดแผลน้อย
· นอน รพ. เพียง 1-2 วันหลังผ่าตัด
· เสียเลือดน้อยกว่าการผ่าหน้าท้องปกติ
· โอกาสติดเชื้อจากผ่าตัดได้น้อยกว่า
· ผู้ป่วยฟื้นตัวลุกเดินทำกิจวัตรได้เร็ว
ข้อห้ามในการทำผ่าตัดส่องกล้อง
· คนไข้ที่มีข้อห้ามในการใช้แก็สคาร์บอนไดออกไซด์
· คนไข้ที่ไม่สามารถนอนราบศีรษะต่ำได้
หมายเหตุ : หลังผ่าตัดผู้ป่วยอาจมีอาการอืดแน่นท้องจากลมที่ยังค้างอยู่ในท้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น