หากยังจำกันได้ 3 ปีก่อน
ประเทศไทยมีอีเวนต์ของเล่นที่ใหญ่ที่สุดครั้งแรกเกิดขึ้นในชื่องาน
‘Thailand Toy Expo 2013’ งานนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากคนในแวดวงของเล่น
ของสะสม เพราะช่วยกระตุ้นให้สังคมคนสะสมของเล่นคึกคัก
ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือ ’แพร - แพรพรรณ ธรรมวัฒนะ’ นักธุรกิจสาววัย 28 ปี ผู้ก่อตั้ง ‘Play House’ ร้านขายของเล่นลิขสิทธิ์จากดีสนีย์ และงานทอยดีไซด์ ที่ครบวงจรที่สุดในเมืองไทย
เดิมทีก่อนที่จะมาจับธุรกิจนี้เธอสารภาพตรงๆ
ว่าไม่มีประสบการณ์ในแวดวงของเล่นเลย
แต่จากการชักชวนของน้องชายให้มาช่วยงาน Thailand Toy Expo
ทำให้เธอมองเห็นโอกาส เลยลงมือศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจนี้เกือบ 2
ปีก่อนเปิดอาณาจักรของเล่นอย่างที่ตั้งใจ และไม่นาน Play House
ก็กลายเป็นร้านของเล่นที่โดนใจนักสะสมทั้งไทยและเทศ ด้วยบริการที่เอาใจใส่
เป็นกันเอง และมีสินค้าให้เลือกเยอะ ล่าสุด Play House
เพิ่งคว้ารางวัล ‘Best Toy Store 2015’ จากงาน Designer toy awards
ในฐานะร้านขายงานทอยดีไซน์ที่ดีที่สุดในโลก ผ่านการโหวตโดยลูกค้าทั่วโลก
รวมถึงงาน ‘Thailand Toy Expo’ ที่เธอจัดต่อเนื่อง 3 ปีติด
ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีถึงขั้นเตรียมจัดปีที่ 4 แล้ว
สำหรับคนอื่นอาจมองว่าของเล่นเป็นเรื่องเล่นๆ
แต่สำหรับเธอของเล่นให้อะไรที่มากกว่านั้น ซึ่งเธอได้แชร์ให้เราฟังในวันนี้
ตอนเริ่มทำ ‘Play House’ มีแต่คนไม่เห็นด้วย
คิดว่าของเล่นจะไปทำกำไรอะไร
รวมถึงหลายคนยังคงมองว่าของเล่นเป็นเรื่องสำหรับเด็ก ซึ่งจริงๆ
แล้วอายุเท่าไหร่ก็สะสมได้
ดังนั้นกว่าจะเปิดตลาดได้ก็ยากพอสมควรเพราะที่ผ่านมาไม่มีใครทำธุรกิจอย่าง
เรามาก่อน เราถือว่าเป็นคนแรกๆ ที่สร้างกระแสในวงการของเล่น
ของสะสมในเมืองไทย เป็นคนแรกที่จัดงานของเล่น ‘Thailand Toy Expo’ ถึง 3
ปีติดกัน (ร่วมกับน้องชาย ‘พงศธร ธรรมวัฒนะ’)
และเราเป็นคนแรกที่เปิดร้านของเล่น และขายงานทอยดีไซด์
อย่างเต็มรูปแบบที่สุดในเมืองไทย เลยทำให้เราเป็นตัวเลือกแรกๆ
ของลูกค้าเสมอหากจะหาของที่เขาต้องการ จนถึงวันนี้ก็ 1 ปีครึ่งแล้ว ‘Play
House’เติบโตได้อย่างน่าพอใจ มีโอกาสขยายสาขาไปยังที่ต่างๆ
ลูกค้าแวะเวียนมาเสมอทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ยอดขายดีขึ้น
เริ่มไปได้ด้วยตัวของมันเอง
ยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ แม้วันนี้ Play
House จะขายดี พอเป็นที่รู้จักบ้างแล้ว
แต่เรายังไม่รู้เรื่องในกระบวนการทำงานทั้งหมด ลองผิดลองถูกก็เยอะ
เราเคยคิดว่าเรารู้ใจผู้บริโภคดีแล้ว แต่ในความเป็นจริง play House
สาขาอื่นผู้บริโภคไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนกัน ทุกอย่างต่างกันหมดเลย
แพรจึงต้องเรียนรู้ใหม่ ทุกอย่างที่สอนเรามาจากลูกค้า พนักงาน
และประสบการณ์ล้วนๆ แพรมองว่าช่วง 1
ปีครึ่งที่เราดำเนินกิจการมานั้นเป็นช่วงเวลาที่เรากำลังเรียนรู้
สร้างประสบการณ์และภูมิคุ้มกันให้เรามากขึ้น เพื่อที่ปีต่อๆ
ไปจะได้เก็บประสบการณ์นั้นมาพัฒนาร้านต่อไป และเข้าใจในผู้บริโภคมากขึ้น
ตัวอย่างที่ดีไม่ใช่แค่คำสอน
แพรทำงานคู่กับพนักงานเสมอเพื่อให้เห็นว่าเขาไม่ได้ทำงานคนเดียว
แพรก็ทำด้วย เราไม่ใช่เจ้านายประเภทนั่งอยู่เฉยๆ รอนับเงิน ทุกคนลำบากยังไง
แพรลำบากเท่ากัน พนักงานกลับเที่ยงคืน แพรกลับตี 1 พนักงานมาแปดโมง แพรมา 7
โมง เราทำให้พวกเขาเห็นว่าเราทุ่มเทมาก ในร้านแพรทำมาหมดทุกตำแหน่ง
(หัวเราะ) เป็นพนักงานขาย แคชเชียร์ แม่บ้าน
แบกของ ส่งของ แพรมักบอกเสมอว่าถ้าวันไหนขาดคนให้เรียกแพรเป็นคนแรก
เพราะแพรน่าจะเป็นคนที่ว่างที่สุดแล้ว (หัวเราะ)
ต่อให้ยุ่งแค่ไหนแพรก็มาเพราะมันคือร้านของเรา ไม่ต้องเกรงใจ
แพรเชื่อในการตัดสินใจของคนอื่น ไม่ว่าจะตำแหน่งอะไร
แพรต้องเชื่อเพราะเขารู้ดีกว่าเราแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะจ้างมาทำไม
(หัวเราะ) เราจะไม่ใช่เจ้านายประเภททุกอย่างต้องตามฉันเท่านั้น
แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเราก็จะถามก่อนอยู่แล้วว่าสิ่งที่คุณเสนอมันดีใช่ไหม
ถ้าคุณเห็นว่ามันดีกับร้านแพรก็จะเชื่อ
เราเป็นคนที่เปิดรับความคิดเห็นคนอื่น กล้าที่จะเรียนรู้
ไม่ยึดติดว่าเราเป็นใคร แล้วคนที่สอนเราเป็นใคร
มัวแต่ยึดติดว่าเราต้องเป็นที่หนึ่งก็จะทำให้คนทำงานด้วยลำบากเปล่าๆ
หลายประสบการณ์จากการทำงานส่วนหนึ่งเราก็ได้มาจากพนักงานของเรานั่นแหละที่
สอนเราทั้งทางตรง และทางอ้อม
ลูกค้ากลับมาหาเพราะความเป็นกันเอง
ลูกค้าสนิทกับพนักงานเหมือนเพื่อน ไม่ซื้อแวะมาคุยเล่นก็มี
มันเลยตรงกับคอนเซปต์ที่เราสร้างPlay House
ขึ้นมานั่นก็คือแพรอยากทำให้ร้านนี้เป็นเหมือนบ้านใหม่ของทุกคน
ลูกค้าสามารถเดินดูรอบร้าน
ถ่ายรูปของเล่นเราได้หมดขณะที่หลายร้านหวงไม่ยอมให้ถ่าย
ล่าสุดมีลูกค้าจากไต้หวันมาดูของที่ร้านแล้วขอถ่ายรูปไป เราก็อนุญาต
และให้เขาหยิบของเล่นมาถ่ายรูปคู่ด้วย
ซึ่งในเวลาต่อมาเขานำเรื่องนี้ไปเขียนลงบล็อคชมว่าร้านเรามีมารยาท ใจดี
ไม่หวงของ ไม่นานคนที่อ่านบล็อคเขาก็แวะมาเยี่ยมร้านเราเยอะมาก
ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี
แพร เป็นคนประเภท ‘ทำดีเสมอตัว ทำชั่วขาดทุน’
คนที่ไม่รู้จักแพรส่วนใหญ่คิดว่าเราใช้เงินของที่บ้านมาทำธุรกิจ
จะทำธุรกิจอะไรก็ได้ ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร เอาเงินมาโยนทิ้งๆ ขวางๆ ไป
ซึ่งความเป็นจริง เงินที่ลงทุนมาจากเงินที่แพร ไปกู้ธนาคารมา
มีเพียงส่วนน้อยที่แพร ขอกู้แม่ ไม่ใช่ขอไปเลย เรากู้ธนาคารมา 90% อีก 10%
ขอยืมแม่ แพรก็เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการเป็นหนี้ เหมือนกับหลายๆ คนนั่นแหละ
หรือต่อให้แม่แพรมีเงินมหาศาลเราก็ไม่ขอ
เพราะเราอยากทำสิ่งที่เรารักด้วยตัวเอง
ถ้าแพรขอเงินแม่มาทำสร้างธุรกิจของตัวเอง แล้วความภูมิใจมันอยู่ที่ไหน
มันพูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่าเป็นฝีมือเรา
My Profile
การศึกษา : ปริญญาตรี และปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยคิงส์ตัน คอลเลจ ประเทศอังกฤษ
อาชีพ : ผู้ก่อตั้งร้าน Play House, กรรมการบริหาร บริษัท เพลย์ เฮ้าส์ จำกัด และ กรรมการบริหาร บริษัท รีเทล มี จำกัด
After work
ปกติแพร ทำงานทุกวัน
วันธรรมดาทำงานที่ออฟฟิศ เสาร์ อาทิตย์ ไปดูร้านสาขาต่างๆ
ดังนั้นถ้าว่างจริงๆ แพร จะอยู่เฉยๆ (หัวเราะ) ดูซีรีย์ไปเรื่อยๆ ค่ะ
ซึ่งเดือนนึงจะมีแค่ไม่เกินสองวัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น