ผลงานวิจัยล่าสุดซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ
"จิตวิทยาสังคมและศาสตร์แห่งบุคลิกภาพ" เมื่อเร็วๆ นี้
เปิดเผยข้อเท็จจริงว่า
แม้สังคมสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีซึ่งสามารถเชื่อมโยงมนุษย์เราเข้า
ด้วยกันและสร้างความใกล้ชิดสนิทสนมกันได้มากกว่าทุกยุคทุกสมัยก็ตามที
ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง
นอกจากนั้น งานวิจัยดังกล่าวยังแสดงด้วยว่า
ไม่ว่าขนบธรรมเนียมในสังคมหรือความคาดหวังทางวัฒนธรรมจะผลักดันไปสู่การมี
ชีวิตคู่ แต่ผู้ที่ใช้ชีวิตโสดบางส่วนก็มีความสุขโดยสมบูรณ์อยู่กับการใช้ชีวิตโดดเดี่ยว ไม่ได้หดหู่หรือเศร้าซึมกดดันแต่อย่างใด
งานวิจัยดังกล่าวเป็นผลการศึกษาวิจัยของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยออคแลนด์
ประเทศนิวซีแลนด์ นำโดย ยูธิกา เกอร์เม นักศึกษาปริญญาเอกด้านจิตวิทยา
สำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นชาวนิวซีแลนด์มากกว่า 4,000 คน อายุระหว่าง 18-94
ปี โดย 1 ใน 5 ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่า "เป็นโสด" ในขณะที่ผู้ที่มีชีวิตคู่ในการสำรวจนั้นใช้ชีวิตคู่มาต่อเนื่องโดยเฉลี่ย 22 ปี
ผลการสำรวจพบว่า
ผู้ที่เป็นโสดและมีทัศนคติในเชิงหลีกเลี่ยงที่จะทำตามเป้าหมายตามขนบ
ธรรมเนียมของสังคมสูง หรือคนที่มีความคิดปฏิเสธการใช้ชีวิตคู่สูงและชัดเจน
เพราะไม่ต้องการเปิดปัญหาขัดแย้งหรือเผชิญกับสถานการณ์ที่สร้างความกระวน
กระวาย หงุดหงิดใจ เป็นกลุ่มคนที่มีความสุขในการใช้ชีวิตมากพอๆ
กับคนที่ใช้ชีวิตคู่เหมือนกัน
ผลวิจัยเชิงสังเกตการณ์ดังกล่าวนี้สอดคล้องกับงานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่
ในวารสารบุคลิกภาพและจิตวิทยาสังคม เมื่อปี 2013 ที่พบว่า
ใครก็ตามที่มีความกลัวอย่างแรงกล้าต่อการมีชีวิตโสด
มักลงเอยด้วยการมีชีวิตคู่ที่ปราศจากความสุข
สืบเนื่องจากบุคคลดังกล่าวมีแนวโน้มให้ความสำคัญต่อสถานะการมีชีวิตคู่
มากกว่าการให้ความสำคัญต่อคุณภาพของการใช้ชีวิตคู่
แต่ที่น่าสนใจก็คือ คนที่กลัวการเป็นโสดมากๆ แต่ยังต้องใช้ชีวิตเป็นโสดอยู่ กลับมีปัญหากดดันน้อยกว่าคนที่ใช้ชีวิตคู่กับคู่แต่งงานที่ไม่มีความพึงพอใจ แต่ต้องอยู่ด้วยกันเพราะต้องการใช้ชีวิตคู่
ในงานสำรวจทั้งสองชิ้นในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด
มีสัดส่วนของผู้ที่คาดหวังว่าสักวันหนึ่งตนเองจะรู้สึกกลัวต่อการเป็นโสด
หรือรู้สึกอยู่แล้วในเวลาของการสำรวจอยู่ระหว่าง 15-20 เปอร์เซ็นต์
ผลงานวิจัยเมื่อปี 2013
ยังแสดงให้เห็นข้อมูลเชิงจิตวิทยาที่น่าสนใจด้วยว่า
ทั้งกลุ่มคนที่ตัดสินใจอยู่เป็นโสด และกลุ่มคนที่ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่
ต่างเชื่อว่าหนทางที่ตนเลือกนั้นถูกต้องแล้ว
และเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน
นักวิชาการด้านจิตวิทยาตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า
แนวความคิดที่ว่าทางที่ตนเลือกนั้นถูกต้องที่สุดที่ทุกคนควรทำตามนั้น
เกิดขึ้นจากกลไกทางจิตวิทยาของคนเราที่สร้างความเชื่อดังกล่าวขึ้นมาเพื่อ
ใช้เป็นเครื่องมือในการรับมือกับอะไรก็ตามที่ไม่น่าพึงพอใจที่เกิดขึ้นในรูป
แบบการใช้ชีวิตของตนเองหรือพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า
เราใช้ความเชื่อดังกล่าวปลอบใจตัวเองว่า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย
สิ่งนี้ก็ดีที่สุดสำหรับเราแล้วนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น